บุหรี่ไฟฟ้า: เมื่อรัฐไทยวิ่งไม่ทันนวัตกรรม

จากกรณีเน็ตไอดอล ฟลุ๊คศรี มณีเด้ง ถูกจับกุมกรณีมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง ได้ถูกแพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย ก่อให้เกิดการพูดถึงอย่างแพร่หลายถึงแนวทางของรัฐไทยต่อบุหรี่ไฟฟ้าที่แทบจะทั้งโลกเปิดรับ แต่กลับถูกแบนและเป็นสินค้าต้องห้ามในประเทศไทย

หากย้อนมองกลับไปในปี2560 นี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข่าวการจับกุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าวจากสำนัก The Independent  ถึงประเด็นการเตือนนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจากรัฐบาลว่าบุหรี่ไฟฟ้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ E-cigarette และ Vaporizer เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยอาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมาก หรือรับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี 

ทั้งนี้ ในเว็บไซต์ www.gov.uk  ของรัฐบาลอังกฤษยังระบุไว้อย่างชัดเจนในช่วงเดือนสิงหาคมว่า มีชาวอังกฤษประมาณ 2-3 คนถูกจับกุมแล้วข้อหาครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์สูบบุหรี่ที่ใช้ไอน้ำ

หากมองในแง่กฎหมายไทย บุหรี่ไฟฟ้านั้นอยู่ในสถานะสินค้าต้องห้าม ห้ามนำเข้า หรือผ่านราชอาณาจักรไทย จากประกาศกระทรวงพาณิชย์วันที่12ธันวาคม 2557 และในปัจจบันมีการอัพเดทจากเพจ ”บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” ว่ามีโทษสำหรับผลิต นำเข้า และส่งออกที่ จำคุกไม่เกิน10ปี มีค่าปรับกว่า1ล้านบาทห รือทั้งจำทั้งปรับ ในขณะที่ผู้ครอบครองมีโทษทางกฎหมายว่า “การครอบครองสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีมีความผิดตาม พรบ. ศุลกากร พ.ศ.2469 ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน5ปี ปรับเงิน4เท่าของราคาสินค้าหรือทั้งจำทั้งปรับ”

คำถามสำคัญของประเด็นนี้ คือ ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกให้การสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าว่าเป็นนวัตกรรมช่วยชีวิตนักสูบ แต่เหตุใดในประเทศไทย โทษของการมีสิ่งนี้ไว้ในครอบครองถึงดูรุนแรงยิ่งกว่ายาเสพติด?

ในรายงานของ Public Health England ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุขประเทศอังกฤษตีพิมพ์รายงาน  E-cigarettes: an evidence update  อธิบายว่าบุหรี่ไฟฟ้า ปลอดภัยกว่าบุหรี่มวนและเป็นทางเลือกที่ดีในการช่วยเลิกบุหรี่มวน ยิ่งไปกว่านั้นในบทวิจัยชื่อ Nicotine without smoke: Tobacco harm reduction จาก Royal College of physicians ประเทศอังกฤษ ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 2016 อธิบายในส่วนบทสรุปหน้า189 ว่า อัตราส่วนสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายโดยวัดจากผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นระยะเวลานานนั้นได้มีการอธิบายว่าไม่ถึง 5 % ของบุหรี่มวน

เพราะเมื่อเปรียบเทียบแล้วสารประกอบในน้ำยาของบุหรี่ไฟฟ้ามีเพียงนิโคตินประกอบกับสารอื่นๆ ที่เป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ Propylene Glycol (PG) และ Vegetable Glycerin (VG) และ/หรือ สารให้ความเย็นจำพวกเมนทอล และสารให้ความหวานเท่านั้น ต่างจากบุหรี่มวนที่มีสารพิษอื่นๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้ เช่น ทาร์ ไซยาไนด์ คาร์บอนมอนนอคไซด์ เป็นต้น

และเมื่อเทียบกับความเลวร้ายของสารพิษที่บุหรี่ถูกโจมตีจากลักษณะของ “ควันบุหรี่มือสอง” ที่กล่าวย้ำถึงสารเคมีที่แม้จะไม่ได้สูบบุหรี่ แต่เพียงสูดดมควันก็ได้รับสารพิษนั้น ทว่าเมื่อปรับอุปกรณ์มาเป็นบุหรี่ไฟฟ้า กลับมีการบันทึกจากสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐสภาอังกฤษอธิบายถึงภัยต่อคนรอบข้างไว้ในหน้าที่ 2 -3 ว่าไม่เพียงแต่สารพิษที่ผู้ใช้ได้รับไม่ถึง 5% ของบุหรี่มวน สารพิษที่ถูกพ่นออกมาก็เป็นจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น  (postnote 533 August 2016-House of parliament--parliamentary office of science and technology, UK)

จากข้ออ้างอิงของเอกสารที่ออกในนามหน่วยงานสำคัญต่างๆ ของรัฐบาลอังกฤษอาจพอทำให้เห็นได้ว่าประเทศที่ขึ้นชื่อด้านสวัสดิการสุขภาพหนุนบุหรี่ไฟฟ้ากันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เพราะจากงานวิจัย บุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในการเสพนิโคติน แน่นอนว่าการเสพติดนิโคตินนี้ไม่สามารถเลิกได้ง่ายๆ เหมือนเลิกนอนตื่นสายแน่นอน เพราะหากอธิบายในเชิงเคมีแล้วนิโคตินจะไปกระตุ้นสารสื่อประสาทที่ชื่อว่าโดปามีน (Dopamine)  ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สบายใจ

ซึ่งแน่นอนการเลิกเสพสารนิโคตินในกลุ่มคนที่เสพนำมาซึ่งความหงุดหงิดทางอารมณ์  เพราะเคยชินกับการที่เสพนิโคตินและทำให้มีความสุข แน่นอนว่าหากกล่าวเช่นนี้แล้ว นิโคตินก็จะดูราวกับเป็นสารประเภทเดียวกันกับยาบ้า แต่เราต้องไม่หลงลืมว่ากาเฟอีนในกาแฟเอง ก็ส่งผลกระตุ้นสารสื่อประสาทที่ชื่อโดปามีนเช่นกัน

ในตอนนี้กว่า 180 ประเทศทั่วโลกที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย มีมากถึง160 ประเทศ ทั้งในหลายประเทศยังสนับสนุนให้ประชาชนใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนบุหรี่มวน ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่รัสเซียเองก็ตาม โดยประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้ายังคงผิดกฎหมายนั้น ประกอบไปด้วย อียิปต์ ไทย บรูไน สิงคโปร์ เป็นต้น โดยประเทศอย่างสิงคโปร์เองก็มีแนวทางที่จะปลดแบนนวัตกรรมนี้ในไม่ช้า จากการจัดให้มีประชาพิจารณ์ในช่วงกลางปีถึงกรณีบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งรับฟังความเห็นจากคนในประเทศและคนนอกประเทศเอง ทั้งนี้ในปัจจุบันประเทศสิงคโปร์การครอบครองเพื่อใช้งานบุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่ผิดกฎหมาย แต่ยังไม่อนุญาตให้จำหน่าย

ด้านนายมาริษ กรัณยวัฒน์ แอดมินเพจ "บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร" ได้เล่าว่า “ประเทศไทยก็เอาบุหรี่ไฟฟ้ามารวมกับ พ.ร.บ. ยาสูบฉบับใหม่แล้ว ผ่านการอธิบายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีนิโคตินเป็นส่วนประกอบ ฉะนั้น การจะปลดแบนแล้วควบคุมด้วยบรรทัดฐานเดียวกับบุหรี่มวนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

แต่ที่น่าหวั่นใจคือการที่นายแพทย์ ในองค์กรบางองค์กรในประเทศไทยนผลิตซ้ำวาทกรรมที่ว่า ’บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายเทียบเท่าเฮโรอีน’ หมายความว่า คุณกำลังกล่าวว่ารัฐบาลกว่า160 ประเทศทั่วโลก กำลังฆ่าประชาชนของเขา แน่นอนไม่มีรัฐบาลไหนในโลกอยากให้ประชาชนอยู่กับสิ่งอันตราย ถ้าเขาเลือกได้ เขาก็อยากให้ประชาชนใช้สิ่งที่มีอันตรายน้อยกว่า”

ในประเด็นเกี่ยวเนื่องกัน นายมาริษ ยังกล่าวต่อว่า ทางเพจ "บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร" มีการรวบรวม 16,000 รายชื่อเพื่อให้คนไทยปลอดภัยจากควันบุหรี่ ผ่านการให้ประชาชนมีทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า โดยให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าควบคุม แต่กลับโดนนายแพทย์จากองค์กรหนึ่งคัดค้านต่อต้าน ว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะเป็นการเพิ่มนักสูบหน้าใหม่ ในขณะที่โรงงานยาสูบยื่น14,000 เพื่อขอให้บุหรี่ถูกลงและกลับมาขายดี กลับไม่มีความเห็นใดจากองค์กรดังกล่าว ซึ่งหากเทียบแล้ว อย่างหลังดูกลับเป็นการเพิ่มจำนวนนักสูบมากกว่าเสียอีก

สุดท้ายแล้วรัฐไทยจะปรับนโยบายท่าทีต่อบุหรี่ไฟฟ้าไปในทิศทางใด จะเชื่อวิจัยจากประเทศแนวหน้าด้านสุขภาพ หรือจะยืนยันทางสายเก่าก็ล้วนเป็นตัวบ่งชี้ในอนาคตว่า สุขภาพประชาชนสำคัญอย่างแท้จริงหรือไม่

27K
นักเขียน : วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์
Update : 3 hours ago

https://gmlive.com/e-cigarette-revolution-and-Thai-government

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม