มารี เดอ กีมาร์ (Maria Guiomar de Guimar) หรือท้าวทองกีบม้า หรือรู้จักกันในนามของแม่มะลิ ตัวละครพีเรียด

วันนี้ผมมีแรงเขียนงานเก่าที่เขียนค้างเอาไว้เมื่อสองปีก่อนหลังจากไปดูของสามชิ้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียว ที่เกี่ยวพันกับโคตรเหง้าตระกูลของ มารี เดอ กีมาร์ (Maria Guiomar de Guimar) หรือท้าวทองกีบม้า หรือรู้จักกันในนามของแม่มะลิ ตัวละครพีเรียดได้ปลุกขึ้นมาโลดแล่นในอดีตอยู่เสมอ ๆ อีกหนึ่งตัว ประวัติศาสตร์ในช่วงพระนารายณ์ พระเพทราชา และพระเจ้าท้ายสระ แห่งราชวงค์บ้านพลูหลวงจะไม่สมบูรณ์เลยถ้าขาดผู้ที่มีชีวิตจริงในประวัติศาสตร์ท่านนี้

หลายคนที่ดูละครบางเรื่องทำไมมารี เดอ กีมาร์ ลูกสาวของแขกขายผ้า ฟานิก กูโยมาร์ (Fanik Guyomar) ถึงได้เป็นฝรั่งมากกว่าแขก เรื่องนี้แหละครับที่ผมเขียนค้างเอาไว้เมื่อสองปีก่อนแล้วลืมทิ้งเอาไว้ไม่ได้เขียนต่อ ทั้งที่ผมนั่งเขียนมาตั้งแต่ยังไม่กลับมาเมืองไทยเสียด้วยซ้ำไป ผมจำได้ว่าผมนั่งเขียนเรื่องนี้ที่ระเบียงอพาร์ทเม้นท์ในช่วงฤดูร้อนมองดูวิวแสงไฟของกรุงโตเกียวยามค่ำคืนไปเขียนไป แล้วคิดย้อนหลังกลับไปที่ยุคอะซุชิ-โมะโมะยะมะ หรือร่วมสมัยกับแผ่นดินพระนเรศ (พระนเรศวร) ของอยุธยา เวลานั้นศูนย์อำนาจของญี่ปุ่นอยู่ที่เมืองเกียวโต ซึ่งเวลานั้นมี ไดเมียว คนสำคัญในประวัติศาตร์ญี่ปุ่นท่านหนึ่งมีชื่อว่า โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ (豊臣 秀吉) ซึ่งไดเมียวท่านนี้แหละที่สร้างปราสาทโอซาก้าที่ยิ่งใหญ่ ผมนั้นชอบไปแอบหลับยามบ่ายที่ริมกำแพงข้างสวนปราสาทแห่งนี้อยู่หลายครั้ง บางครั้งไปทุกวันอยู่เกือบสัปดาห์ เพราะสวนข้างปราสาทของที่นี่วิวสวยมากในทุกฤดู

โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ (豊臣 秀吉)

ผมอยากจะย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2135 ที่ โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ซึ่งเวลานั้นได้แต่งตั้งเลื่อนยศจาก ‘ไดเมียว’ ขึ้นเป็น ‘คัมปะกุ’ หรือผู้สำเร็จราชการของพระจักรพรรดิ์ และได้นามสกุล โทะโยะโตะมิ ในเวลานั้นเอง ได้แผ่อำนาจยกกองทัพไปถึงเกาะคิวชู และพบว่ามีชาวญี่ปุ่นเข้ารีตเป็นคริสต์นิกายคาทอลิกกันมาก คัมปะกุ ฮิเดะโยะชิ จึงออกคำสั่งให้ไล่พระและผู้เข้ารีตออกไปจากญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2130 และต่อมาก็ยังพบว่าประชาชนและพระยังไม่ออกไปไหนจึงจัดการเอาพระและผู้เข้ารีตตรึงกางเขนเสีย 26 คน ในปี พ.ศ. 2140 หรือที่ในบันทึกได้เรียกว่าเหตุการณ์ยี่สิบหกมรณสักขีที่คิวชู นั่นคือจุดเริ่มต้นของการอพยพครั้งใหญ่ของชาวคาทอลิกออกมาจากญี่ปุ่น

ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่เราเชื่อถือกันมาพอสมควร ได้บันทึกเอาไว้ว่ายายของท้าวทองกีบม้า นาง อิกเนซ มาร์แตงซ์ (イグネス) ต้องหลบหนีตายมาด้วยในครั้งนั้น ครั้งแรกได้มาอาศัยอยู่ที่เมืองฮอยอันที่เวลานี้คือเมืองในเวียดนาม และได้อยู่กินกับหลานของไดเมียวตระกูลโอโตะโมะ ที่เป็นคาทอลิกเหมือนกันและอพยพออกจากญี่ปุ่นมาด้วยกัน และอพยพเข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา ประวัติศาสตร์บางเล่มได้บอกว่ายายของท้าวทองกีบม้าเข้ามาอยู่ในเขมรก่อน แล้วโดนกวาดต้อนมาครั้งสงครามละแวกที่พระนเรศ (พระนเรศวร) ทรงไปกวาดต้อนผู้คนเอาลงมาไว้ที่กรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2136

เรื่องนี้ผมพบว่ามีเรื่องที่น่าสงสัยในช่วงปีอยู่ในบางเรื่อง ผมอยากจะยกเอาปีที่ ฮิเดะโยะชิ ไล่ชาวคาทอลิกออกจากเกาะคิวชูในปี พ.ศ. 2130 และกวาดล้างจับตรึงกางเขนใน ปี พ.ศ. 2140 แต่พระนเรศทรงตีละแวกในปี พ.ศ. 2136 ดังนั้น นางอิกเนซ มาร์แตงซ์ ยายของท้าวทองกีบม้าต้องออกมาก่อนหน้าการกวาดล้างใหญ่เหตุการณ์ยี่สิบหกมรณสักขีที่คิวชู และนางอิกเนซ มาร์แตงซ์ ต้องมาอยู่ที่เมืองฮอยอันที่เวียดนามสักพักแล้ว จนอยู่กินกับสามีชาวญี่ปุ่นตระกูลโอโตะโมะ แล้วจึงมาอยู่ที่เมืองระแวกที่เขมร ดังนั้นเธอน่าจะออกมาจากญี่ปุ่นก่อนหน้านั้นแล้วหลังปี 2130 แต่ก่อนปี 2136 ถ้านางโดนกวาดต้อนมาจริง

ภาพนักบุญฟรานซิสที่เมืองโกเบ


*** แต่เดี๋ยวก่อน เรื่องทั้งหมดที่อ่านข้างบนนั้นผมเชื่อว่าเป็นเรื่องไม่จริงในประวัติศาสตร์ ***

เรื่องนี้ผมได้กลิ่นไม่ดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ เพราะผมคิดว่าช่วงเวลามันเกินความจริงไปพอสมควร ผมอยากจะบอกว่าประวัติศาสตร์บรรพบุรุษของท้าวทองกีบม้าช่วงนี้มันมั่ว ๆ พิกล

ผมอยากจะพูดถึงเรื่องหนึ่งที่มีเป็นไปได้ว่าว่าสามีของ นางอิกเนซ ที่ประวัติศาสตร์อ้างว่าเป็นหลานในตระกูลโชกุนในตระกูลยามาดะ และเป็นญาติกันด้วยนั้นเมื่อครั้งยังเป็นคู่หมั้น ควรจะสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกช่วงเวลาหนึ่ง ที่คาทอลิกโดนถูกจับใส่กระสอบมาที่เมืองนางาซากิและถูกจับลงเรือเนรเทศออกจากญี่ปุ่น ตามบันทึกเรียกว่า “การบีบบังคับแห่งกระสอบ” (La per sécution de sac) ในช่วงโชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ (徳川家康) ในปี พ.ศ. 2157 นั้นผมคิดว่าช่วงเวลานั้นน่าจะทำให้ประวัติศาสตร์ของเก่าบิดเบี้ยวและกลายเป็นเรื่องไม่จริงไปมากพอสมควร เรามาลองไล่เวลาตามประวัติศาสตร์กันหน่อยก็ดีครับ

*** คอนสแตนติน ฟอลคอน โดนพระเพทราชาประหารในปีพ.ศ. 2231 ตอนนั้นมีอายุ 40 ปี นั่นคือต้องเกิดในปี 2190-1

*** มารี เดอ กีมาร์ ในบันทึกเกิดปีพ.ศ. 2201 ในเวลาที่สิ้นแผ่นดินพระนารายณ์นั้นเธอมีอายุ 30 ปี เป็นช่วงเวลาสมเหตุผลมาก

*** ถ้ายายของ มารี เดอ กีมาร์ คือนางอิกเนซ มาร์แตงซ์ โดนพระนเรศกวาดต้อนมาจากเมืองละแวกในปีพ.ศ. 2136 ตอนนั้นเธอแต่งงานแล้วน่าจะมีลูกแล้ว ถ้าแม่ของ มารี เดอ กีมาร์ คือ นางอูร์ซูล เกิดแล้ว นั่นหมายความว่า แม่ของ มารี เดอ กีมาร์ ต้องมีลูกตอนอายุ 2201-2136 = 65 ปี

แบบนี้ประวัติศาสตร์ที่เราอ่านกันไม่เป็นจริงในช่วงการต่อเนื่องของปีในเรื่องราวแล้วครับ เป็นไปไม่ได้เลยที่แม่ของท้าวทองกีบม้าจะท้องตอนอายุ 65 ปี ดังนั้น ยายของท้าวทองกีบม้าและคู่หมั้นต้องออกมาจากญี่ปุ่นในช่วง “การบีบบังคับแห่งกระสอบ” ในช่วงโชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ในปี พ.ศ. 2157 หรือหลังจากนั้น ถ้าจะเทียบเวลากันดูอีกครั้ง 2201- 2157= 44 ปี หรือน้อยกว่านั้น พอสมเหตุผลครับ ที่ยายโดยเนรเทศออกจากญี่ปุ่นแล้วมีครอบครัวหลังจากนั้นแล้วก็ให้กำเนิดนางอูร์ซูลที่เป็นลูกคนที่เท่าไรก็ไม่รู้ แล้วนางอูร์ซูลก็ให้กำเนิด มารี เดอ กีมาร์ ในปี พ.ศ. 2201 นั้นสมเหตุผลอย่างมากว่าต้นตระกูลฝั่งแม่ของท้าวทองกีบม้าโดนเนรเทศออกจากญี่ปุ่นในสมัยของ โชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ในปี พ.ศ. 2157 หรือหลังกว่านั้น ไม่ใช่ในสมัยของ ไดเมียวโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ในปี หลังปี 2130 แต่ก่อนปี 2136 ที่ประวัติศาสตร์บันทึกมั่ว ๆ แล้วยังผูกเรื่องให้พระนเรศไปตีเมืองละแวกแล้วกวาดต้อนยายของท้าวทองกีบม้ามาไว้ที่อยุธยา

ผมอยากเอาภาพที่ผมถ่ายเองจากห้องจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ที่โตเกียวเอามาให้ดูกันครับ เป็นรูปพระแม่มารีและพระบุตร ที่ชาวคาทอลิกในเมืองนางาซากิใช้ในการบูชา ซึ่งร่วมยุคกับเหตุการณ์ ช่วง "การบีบบังคับแห่งกระสอบ" (La per sécution de sac) ในช่วงโชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ในปี พ.ศ. 2157 และไม่แน่นะครับ ภาพชิ้นนี้อาจจะเคยอยู่ต่อหน้าของนางอิกเนซ มาร์แตงซ์ ยายของท้าวทองกีบม้าและตาของเธอที่อยู่ในสกุล ยามาดะ มาแล้วก็ได้

ภาพเขียนชิ้นนี้เป็นภาพสีน้ำมันเขียนบนแผ่นทองแดง มีอายุการสร้างในศตวรรษที่ 17 น่าจะเป็นของยุโรปที่เข้ามาพร้อมกับการแพร่ศาสนาในญี่ปุ่น ปัจจุบันสิ่งล้ำค่าชิ้นนี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียว

และในบันทึกของ เชอวาลิเยร์ เดอ ฟอร์แบ็ง (Chevalier de Forbin) หรือออกพระศักดิสงคราม นายทหารฝรั่งเศสที่รับราชการอยู่กับสมเด็จพระนารายณ์ ได้เรียกชื่อแม่ของท้าวทองกีบม้าว่า อูร์ซูล ยามาดะ (Usule Yamada) ดังนั้นสามีของนางอิกเนซ มาร์แตงซ์ ต้องเป็นคนในตระกูลยามาดะ ไม่ใช่ ตระกูลโอโตะโมะ (วิกิพีเดียทั้งญี่ปุ่นและไทยใช้ชื่อสกุล โอโตะโมะ) อย่างที่บันทึกเอาไว้กับประวัติศาสตร์ ที่ไม่เป็นจริง ที่ไปโยงเรื่องเข้ากับ ไดเมียวโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ และพระนเรศ (นเรศวร)

หนังสือ Memoires du comte de Forbin

ข้ามมาถึงกรุงศรีอยุธยาหลังจากนางอิกเนซ มาร์แตงซ์ มาอยู่แล้ว ผมคิดว่าน่าจะสัมพันธ์กับเวลาช่วงหนีสงครามกลางเมืองตระกูลเหงียนกับตระกูลตรินห์จากเวียดนาม ในเรื่องที่เล่ามานั้น สองสามีภริยาได้หนีมาจากเมืองฟายโฟ (Faifo) หรืออีกชื่อคือเมืองฮอยอัน ที่มีคนเข้ารีตอยู่มากตามบันทึก นางมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ อูร์ซูล ยามาดะ(Usule Yamada)

ส่วนเรื่องที่มีการเล่าขานว่าเธอมีสามีอีกคนชาวเขมรตอนย้ายมาอยู่เมืองละแวก ว่านางอูร์ซูล มีเชื้อเขมรด้วยถ้ามีพ่อเป็นเขมร เพราะเรื่องนี้โดนผมหักล้างไปแล้วว่านางไม่ได้มาอยุธยาเมื่อครั้งศึกละแวก เรื่องนี้ไม่จริงครับ ผมคำนวณเวลาปี พ.ศ. ให้ดูแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น นางอูร์ซูล ต้องมีพ่อแม่ญี่ปุ่นเลือดญี่ปุ่นเต็มร้อย ส่วนเรื่องที่เชอวาลิเยร์ได้บอกว่าน้าชายของท้าวทองกีบม้าเป็นลูกครึ่งยุโรป (métis) นั้นเป็นไปได้ เพราะ อิกเนซ มาร์แตงซ์ มาอยู่อยุธยานั้น นางและสามีมาอยู่ที่หมู่บ้านโปรตุเกสเพราะเป็นคาทอลิก ไม่ใช่ไปอยู่ที่หมู่บ้านญี่ปุ่นในอยุธยา ดังนั้นถ้าสามีญี่ปุ่นตระกูลยามาดะตายไปแล้วเธอจะมีสามีใหม่เป็นโปรตุเกสแล้วมีลูกอีกเป็นลูกครึ่งก็ไม่แปลกอะไร

หลังจากที่นางอูร์ซูล ยามาดะ ได้อยู่กินกับแขกฟานิก กูโยมาร์ (Fanik Guyomar) ในอยุธยานั้น แขกฟานิก มาอยู่ที่อยุธยามาก่อนหน้านั้นแล้ว โดยมีเชื้อสายญี่ปุ่นและเบงกาลี ปิแยร์ ดอร์เลองส์ (Pierre-Joseph d'Orléans) บาทหลวงนิกายเยซูอิตชาวฝรั่งเศสได้บันทึกว่า บิดาของนางมีนามว่า ฟานิค (Fanique) เขาเป็นคนผิวดำคล้ำลูกครึ่งเบงกอลและญี่ปุ่น ในวัยเยาว์ยากจนมาก แต่เป็นคนที่ซื่อตรงและเป็นคริสเตียนที่ดี และยังเป็นคนที่มีสติปัญญา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในคนชนชั้นนี้ เขาได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นด้วยความช่วยเหลือของพ่อค้าชาวอังกฤษ ซึ่งได้กำไรไม่น้อยกว่าที่เขาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะจ่ายค่านายหน้าให้เขาไปเท่าไหร่ก็ตาม

นางอูร์ซูล นั้นเข้าข่ายหญิงเล่นชู้อยู่ไม่น้อย ในขณะที่อยู่กินกับแขกฟานิกนั้นก็เล่นชู้กับบาทหลวงวัลกัวเนรา ชาวซิซิลี พระคาทอลิก นิกายเยซูอิต ที่มาช่วยออกแบบก่อสร้างป้อมค่ายกำแพงเมืองในสมัยพระนารายณ์ ซึ่งในบันทึก Mémoire en forme de lettre d'un anglais catholique ได้บันทึกว่าท้าวทองกีบม้ามีผิวขาวกว่าพี่น้องคนอื่นทั้งที่มีพ่อเป็นแขก ซึ่งน่าจะเป็นลูกของพระคนนี้ และในหนังสือรุ่นหลังอีกสองเล่มคือ Adventure in Siam in the 17th Century และ 1688 Revolution in Siam ได้เรียกแขกฟานิกว่าเป็นพ่อเลี้ยงหรือผู้เลี้ยงดูนางมา ไม่ใช่พ่อจริง

พอสรุปได้ว่า ท้าวทองกีบม้านั้นมีเลือดผสมระหว่าง “ญี่ปุ่นและซิซิลี” ในกรณีที่นางอูร์ซูลที่มีชู้กับพระเยซูอิต จนเกิดท้าวทองกีบม้า หรือไม่ก็มีเลือด “ญี่ปุ่นและเบงกาลี” ในกรณีที่พ่อจริงของท้าวทองกีบม้าเป็นแขกฟานิกจริง ๆ

หลังจากที่ มารี เดอ กีมาร์ หรือต่อมาคือท้าวทองกีบม้า ได้แต่งงานอยู่กินกับพระยาวิชเยนทร์ หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน (Constantine Phaulkon) แล้วมีลูกชายสองคนคือ จอร์จ ฟอลคอน (George Phaulkon) และ จวน ฟอลคอน (Juan Phaulkon) ที่มีเลือดผสมกรีกเข้าไปอีกหนึ่งถ้าเป็นไปตามที่ผมว่าเอาไว้ข้างบน


ชีวิตของ ของ มารี เดอ กีมาร์ นั้นรุ่งเรืองอยู่ไม่นาน หลังจากที่เกิดจลาจลที่ก่อโดยพระเพทราชาก่อนพระนารายณ์จะสวรรคตได้ไม่กี่วัน ได้จับเอาพระยาวิชเยนทร์มาตัดหัวทิ้งเสีย เพราะเห็นว่าฟอลคอนนั้นมักใหญ่ใฝ่สูงและสมคบกับชาวต่างชาติยักยอกทรัพย์จากการค้าขายที่ควรเป็นของหลวงไปมากมาย และริบราชบาตรจนนางมารี เดอ กีมาร์ ยากจนอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว ความจริงแล้วนางได้ยักยอกทรัพย์เอาไว้พอสมควร แต่โดนทหารฝรั่งเศส นายพลเดฟาร์ฌ (General Desfarges) ที่นางฝากทรัพย์เอาไว้โกงไปเสียหมด แต่ในบันทึกได้บอกว่าทรัพย์ส่วนหนึ่งนั้นนายพลเดฟาร์ฌ ได้คืนให้แก่คลังหลวงและยักยอกเก็บไว้เองส่วนหนึ่ง

นางโดนขังในคอกม้ามีเพียงฟากเอาไว้ปูนอนบนสิ่งปฏิกูล แต่ผู้คุมที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากนางสมัยที่ยังสุขสบายได้ช่วยไม่ให้ต้องโดนทำโทษ และต่อมานางก็โดนนำตัวไปเป็นคนรับใช้ในวัง แต่ก็โชคร้ายที่ขุนหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) พระโอรสของพระเพทราชาเกิดต้องตาต้องใจในตัวนาง แต่นางไม่เล่นด้วยเลยโดนขุนหลวงสรศักดิ์แกล้งและข่มขู่จะทำร้ายสารพัด นางก็ต้องหนีไปขอความช่วยเหลือกับนายพลเดฟาร์ฌ นายทหารฝรั่งเศสที่เคยโกงนางจนหมดตัวให้ช่วยพาหนีออกไปจากอยุธยา แต่ก็โดนนายพลเดฟาร์ฌปฎิเสธ เพราะเกรงว่าจะมีปัญหากับไทย แต่นางนั้นอ้างว่าอยู่ใต้บังคับฝรั่งเศส นางจึงโดนฝรั่งเศสกักขังในป้อมวิไชยเยนทร์ (ป้อมวิไชยประสิทธิ์) ที่บางกอก ตามบันทึกเหตุการณ์ของบาทหลวง เดอ แบซ แต่ในภายหลังนายพลเดฟาร์ฌก็ส่งตัวนางให้ไทยก่อนที่จะแล่นเรือกลับฝรั่งเศส

หลังจากที่ มารี เดอ กีมาร์ โดนส่งตัวคืนให้ไทยนั้น ก็ถูกให้เป็นทาสจำคุกอยู่สองปี บรรดาญาติก็โดนด้วย ยกเว้นแต่นางอูร์ซูลผู้เป็นแม่กับแขกฟานิกที่เป็นพ่อ(เลี้ยง) นั้นไม่โดนเข้าคุกไปทรมาน ตามบันทึกของหมอ เคมพ์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) ได้บันทึกว่า "เด็กน้อยกับแม่คงเที่ยวขอทานเขากินมาจนทุกวันนี้ หามีใครกล้าเกี่ยวข้องด้วยไม่" ซึ่งเป็นธรรมเนียมของสมัยนั้นที่ปล่อยนักโทษทุกวันพระให้ออกไปนอกคุกเที่ยวขอทานได้

หลังจากนั้นนางก็เข้ามาทำงานในห้องเครื่องในวัง มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง แต่นางก็ได้เขียนจดหมายไปเล่าให้บิชอปฝรั่งเศสในประเทศจีนข้อความในจดหมายว่า ต้องทำงานถวายตรากตรำด้วยความเหนื่อยยากและระกำช้ำใจ มืดมนอนธการไปด้วยความทุกข์ยาก ตั้งหน้าแต่จะคอยว่าเมื่อใดพระเจ้าจะโปรดให้ได้รับแสงสว่าง ตอนกลางคืนนางก็ไม่มีที่นอนที่พิเศษอย่างใด คงแอบนอนพักที่มุมห้องเครื่องต้น บนดินที่ชื้น ต้องคอยระวังรักษาเฝ้าห้องเครื่องนั้น แต่สำหรับ จอร์จ ลูกชายนั้นโชคดีกว่าที่พระเพทราชาเอาไปชุบเลี้ยงอยู่ใกล้ชิด แล้วโปรดให้นายจอร์จไปอยู่ห้างที่คอนสแตนติน ฟอลคอน เคยเป็นเจ้าของ ที่ตอนนี้กลายเป็นของคนจีนไปแล้ว

ในสมัยพระเจ้าท้ายสระ มารี เดอ กีมาร์ ก็สุขสบายขึ้นและได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ท้าวทองกีบม้า เธอมีลูกสะใภ้คือ ลุยซา ปัสซัญญา (Louisa Passagna) ที่เป็นภริยาของ จอร์จ ที่ต่อมาเสียชีวิตลง เธอและสะใภ้ได้ส่งฎีการ้องเรียนไปยังพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ขอคืนเงินที่เคยเป็นหุ้นส่วนของบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสที่โดนปฎิเสธการจ่าย โดยอ้างว่าเธอนั้นมีฐานะสุขสบายดีแล้วในวัง แต่รัฐบาลฝรั่งเศสไม่เห็นด้วยกับคำปฎิเสธและออกคำสั่งให้ท้าวทองกีบม้าได้รับส่วนแบ่งของบริษัทเป็นเงินเลี้ยงชีพและกำไรรายปี ทำให้ท้าวทองกีบม้าและลูกสะใภ้ลุยซา มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น และความซื่อตรงของนางทำให้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าท้ายสระ โดยทุกปีมีเงินเหลือคืนเข้าคลังหลวงไม่มีการยักยอกแต่อย่างไร เวลานั้นท้าวทองกีบม้ามีอายุมากเกินกว่า 60 ปีแล้ว รับราชการมีชาววังอยู่ในบังคับมากกว่าสองพันคน มีหน้าที่ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองและเป็นหัวหน้าภูษามาลารวมถึงดูแลเครื่องเสวย มีอิสระที่จะไปวัดวันไหนเวลาไหนก็ได้ ต่อมาในสมัยแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ นายคอนสแตนตินหลานชายของนางก็เข้ารับราชการเจ้าท่าบังคับบัญชาดูแลชาวคริสต์ มีบรรดาศักดิ์ราชมนตรี

นั่นคือเรื่องราวของ มารี เดอ กีมาร์ ที่ต่อมาเป็น มาดามกงส์ต็องส์ เมื่อครั้งเป็นภริยาของฟอลคอน และเป็น ดอนญ่า มารี เดอ ปินา เมื่อครั้งมีชีวิตที่ดีขึ้นพร้อมกับได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ท้าวทองกีบม้า ที่ทุกคนรู้จักจนถึงทุกวันนี้

เครดิตภาพ ละครบุพเพสันนิวาส


ขอบคุณที่มา
http://www.roundtablethailand.com/lifestyle/1793-%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B0-%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%8B%E0%B8%B8-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม