Unlimited QE : The drugs don’t work

Unlimited QE : The drugs don’t work
Unlimited QE : The drugs don’t work
เมื่อคืนธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศนโยบายที่เรียกว่า Unlimtied Qauntitative Easing(QE) หรือคนจะเรียกกันง่ายๆว่านโยบายพิมพ์เงิน ตอนประกาศตลาดหุ้นล่วงหน้าของสหรัฐฯถึงกับดีดจากที่กำลังติดลบกลับมาเป็นบวกสวยงาม แต่สุดท้ายพอปิดตลาดก็กลับไปเป็นลบอีกครั้ง
นโยบายเมื่อคืนของ FED ในแง่ความสำคัญของมันเราน่าจะเรียกได้ว่าเป็นการกดปุ่มนิวเคลียร์ทางการเงินเพื่อสังหารสัตว์ประหลาดที่กำลังกัดกินความเชื่อมั่นของตลาดเงินให้หายไป การทำ QE นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2008-2009 เพื่อจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจโลกหรือ Hamburger Crisis ที่ฉุดให้ทั่วโลกล้มลงเมื่อ 10 กว่าปีก่อน แต่ระดับความรุนแรงของ QE ในรอบนี้เรียกว่ารุนแรงกว่าในปี 2008-2009 ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะ FED ถึงกับใช้คำว่า amount needed หรือจำเป็นเท่าไหร่ก็จะพิมพ์ออกมาเท่านั้น ในขณะที่ครั้งก่อนๆมีการกำหนดวงเงินการทำไว้ชัดเจน
แต่ทำไมตลาดหุ้นถึงไม่ตอบรับในเชิงบวกอย่างรุนแรง ? เอาจริงๆยอมรับว่าแปลกใจ แต่เราลองทำความเข้าใจก่อนว่าคำว่าพิมพ์เงินในความหมายของธนาคารกลางคืออะไร และ FED ทำอะไรกันแน่
สิ่งที่ FED ทำคือ อย่างแรกประกาศว่าจะรับซื้อพันธบัตร หนี้ประเภทบ้าน-ที่อยู่อาศัยเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันไว้ เข้ามาในพอร์ทของตัวเองแบบไม่อั้น กลไกนี้จะทำให้สถาบันการเงินหรือกองทุนต่างๆที่ผ่านตัวกลางที่รัฐบาลให้การรับรอง สามารถเอาสินทรัพย์เหล่านี้ที่ตัวเองมีมาวางค้ำไว้กับ FED เพื่อเอาเงินสดออกไปใช้ เพราะตลาดการเงินมักจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพเวลาที่คนไม่เชื่อมั่น (เป็นสาเหตุที่เราเรียกธนาคารกลางว่า Lender of last resort)
อย่างที่สองคือ FED จัดตั้งกลไก (ขอเรียกว่ากองทุนละกันง่ายๆ) เพื่อรับซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่จะต้องออกมาใหม่เพื่อหมุนเวียนหนี้เก่า และก็พร้อมจะเข้าซื้อหุ้นกู้ของเอกชนในตลาดรองด้วย สาเหตุก็เพื่อถ้าเกิดสภาพคล่องในตลาดนี้หายไป เช่นธนาคารเอกชน หรือกองทุนที่ปกติจะเป็น Market maker ให้กับตลาดเหล่านี้มีปัญหาสภาพคล่อง FED ก็พร้อมจะเข้าไปแทน เป็นการสร้างความมั่นใจให้เอกชนว่ามีคนพร้อมรองรับหนี้อยู่
อย่างที่สามคือ จัดตั้งกลไกขึ้นมาอีกอัน เพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและผู้บริโภคทั่วไปโดยที่ไอ้เจ้ากลไกนี้จะช่วยให้พวกหนี้กู้ยืมนักเรียน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิตต่างๆ สามารถเอามาแปลงเป็นสินทรัพย์เพื่อขายต่อไปได้ กลไกนี้ก็เพื่อให้เครดิตสำหรับคนทั่วไปยังหมุนเวียนต่อไปได้ แต่ตรงนี้ไม่แน่ใจว่า FED จะรับซื้อมั้ย แล้วก็อย่างที่สี่คือการเข้าไปสนับสนุนกลไกตลาดสำหรับพวกพันธบัตรของรัฐบาลท้องถิ่น หน่วยงานท้องถิ่นต่างๆ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าหน่วยงานท้องถิ่นจะถังแตกไประหว่างแก้ปัญหาไวรัส
ขอพูดคร่าวๆเท่านี้ อาจจะไม่ตรงและไม่คลุมทั้งหมด แต่ถ้าจะละเอียดเลย จะยาวมากเพราะต้องอธิบายกลไกทั้งหมด แต่สรุปรวมๆได้ว่า FED จะอัดเงินเข้ามาเพื่อทำให้ระบบการเงินไม่พังพินาศลงมา แต่สิ่งที่ธนาคารกลางทำได้มันก็มีแค่เท่านี้คือดูแลเรื่องเงินและหนี้ คือได้เท่านี้จริงๆ ธนาคารกลางไม่สามารถจะพิมพ์เงินให้ธนาคารพาณิชย์แล้วบอกให้ไปปล่อยกู้มั่วๆเท่าไหร่ก็ได้ให้ประชาชนได้
ถ้าเราไปฟังที่ Sir Mervyn King อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของอังกฤษช่วงวิกฤติ 2008-2009 ให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อคืน เราก็จะพอเห็นภาพว่าทำไม QE รอบนี้ถึงไม่กระตุ้นตลาดเท่าที่ควร ท่านใช้คำว่าไว้น่าสนใจว่า เทียบวิกฤติ 2 รอบนี้แล้ว Hamburger Crisis is a lot easier เพราะโลกและนายธนาคารรู้ว่ากำลังเจอกับอะไร แต่ไวรัสรอบนี้มันยากกว่าเยอะ
และถึงธนาคารกลางทั่วโลกจะทำได้ดี แต่สิ่งที่โลกต้องการจริงๆตอนนี้คือ Purchaser of the last resort (ธนาคารกลางคือ Lender of the last resort) ให้แปลก็คือตอนนี้สิ่งสำคัญคือกระทรวงการคลังจะต้องอัดทุกอย่างที่มีเพื่อให้คนมั่นใจว่าเงินหรือรายได้ที่หายไปจะได้รับการชดเชยในระดับหนึ่ง ทำให้เจ้าของบริษัทมั่นใจว่าตัวเองจะไม่เจ๊งหรือสมควรได้รับการชดเชย
โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ตรงนี้เป็นส่วนที่ยากสำหรับรัฐบาลบางประเทศแล้ว เพราะสหรัฐหรือยุโรปอาจจะพิมพ์เงินออกมาได้ แล้วค่าเงินไม่พังทลายลง การที่คลังจะกู้เงินมหาศาลก็ต้องทำให้ภาระดอกเบี้ยของประเทศเพิ่มสูงขึ้น ประเทศไทยยังจัดอยู่ในประเทศที่พอจะกู้เพิ่มได้พอควรจากวินัยที่ดีที่ปฏิบัติมาตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง แต่สำหรับบางประเทศที่มีการกู้ยืมในรูปสกุลเงินต่างประเทศเยอะอยู่แล้ว การที่อยู่ดีๆหนี้ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมหาศาลในเวลาสั้นๆ อย่างน้อยเงินมันจะต้องไหลไปสู่ประเทศที่มีปัจจัยแข็งแกร่งกว่า และทำให้ประเทศเล็กๆมีปัญหาแน่นอนถ้าจะกู้เยอะๆบ้าง อาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อตามมาในภายหลังได้ สิ่งที่โลกต้องการตอนนี้ (ถ้ายังเลือกจะใช้นโยบายปิดประเทศ ปิดเมือง งดการติดต่อระหว่างกัน) คือการร่วมมือในด้านการคลัง การเงินระดับโลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนมากกว่า ถึงจะทำให้นักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นได้ (แต่ย่อหน้านี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ)
ข้างล่างเป็นกราฟที่เอามาจาก Page World Economic Forum แสดงให้เห็นว่าถ้าเราเลือกนโยบายปิดๆๆ เราจะมี curve ของโรคดี แต่ ปัญหาเศรษฐกิจจะหนัก แต่ถ้าเราไม่ทำปัญหาเศรษฐกิจจะหนักน้อยลง แต่คนจะป่วยเยอะ
Link สำหรับคนอยากอ่านเอง หรือฟังเองนะครับ
423
ความคิดเห็น 14 รายการ
แชร์ 113 ครั้ง
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น


ที่มา
ที่มา
 https://www.facebook.com/WriterTable/
















































































































ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม