Google เปิดฟีเจอร์บล็อคโฆษณาที่ติดมากับ Chrome ให้ใช้งานพร้อมกันทั่วโลกได้แล้ววันนี้

Google เปิดฟีเจอร์บล็อคโฆษณาที่ติดมากับ Chrome ให้ใช้งานพร้อมกันทั่วโลกได้แล้ววันนี้

เคยมีข่าวว่า Google มีแผนจะทำตัวบล็อคโฆษณาที่มีอยู่บน Chrome ด้วยตัวเอง โดยฟีเจอร์บล็อคโฆษณานี้จริงๆ เปิดตัวมาตั้งแต่ต้นปี 2018 แต่ตอนนั้นยังจำกัดการใช้งานแค่ไม่กี่ประเทศเท่านั้น ซึ่งล่าสุด Google ได้เปิดให้ผู้ใช้งาน Chrome ทั่วโลกสามารถใช้ได้แล้ว
ตัวบล็อคโฆษณาหรือ ADBLOCKER นี้เปิดให้ทดลองใช้งานไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งจะมีแค่ประเทศแคนาดา, ยุโรป และสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ล่าสุดได้เปิดให้ใช้งานแล้วทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยตัวบล็อคโฆษณาดังกล่าวจะถูกใส่เข้ามาเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ของ Chrome เลย คือไม่ต้องติดตั้งหรือดาวน์โหลดอะไรให้ยุ่งยากเหมือนพวก Extension ที่เคยใช้กัน แค่เปิด Chrome ขึ้นมา ตัวบล็อคโฆษณาก็จะเปิดใช้งานให้แบบอัตโนมัติ
ตัวบล็อกโฆษณา ที่เป็น Extension หรือส่วนขยาย ที่ต้องดาวน์โหลดมาติดตั้งใน Chrome เอง
ส่วนวิธีการการบล็อคโฆษณาของ Chrome จะยึดตามมาตรฐานของ Coalition’s Better Ads ซึ่งจะไม่ได้บล็อคทุกโฆษณาที่มีบนหน้าเว็บ แต่จะเป็นการบล็อคโฆษณาในกลุ่มที่สร้างความรำคาญเสียมากกว่า เช่น โฆษณาเด้งเองแบบ Popup, วิดีโอที่เล่นเองโดยอัตโนมัติ, โฆษณาที่มีขนาดใหญ่จนบังเนื้อหาบนหน้าเว็บ หรือโฆษณาที่ต้องรอเวลานับถอยหลังถึงจะปิดได้เป็นต้น ซึ่งหลายคนน่าจะเจอกับปัญหาน่ารำคาญใจพวกนี้กันอยู่พอสมควร (แถมทำอะไรก็ไม่ได้นอกจากปล่อยมันไปและทำใจให้ชินไปเอง)
ภาพตัวอย่างโฆษณาที่มักเจอบน Desktop

วิธีการเปิด-ปิดฟีเจอร์บล็อคโฆษณา

อันดับแรกต้องเข้าเว็บไซต์อะไรก็ได้มาหนึ่งเว็บ จากนั้นกด “ไอคอนกุญแจล็อค” ลำดับถัดไปให้กด “การตั้งค่าเว็บไซต์”
จากนั้นเลื่อนลงมาหาคำว่า “โฆษณา” กดเลือก “บล็อค” ได้เลย ซึ่งปกติ Chrome จะเปิดตัวบล็อคนี้เป็นค่าเริ่มต้นอยู่แล้ว แต่ถ้าของใครที่เครื่องไม่ได้เปิดให้ หรือใครอยากจะปิดฟีเจอร์นี้ ก็เข้าไปทำเองได้เลยจ้า ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก
เท่านี้เราก็สามารถกำจัดเหล่าโฆษณาที่สุดแสนจะน่ารำคาญที่มักจะเด้งขึ้นมาบังจอ หรืออยู่ๆ ก็เล่นวิดีโอเสียงดังลั่นขึ้นมาเองได้แล้ว แต่ยังไงก็ต้องลองใช้กันไปก่อนนะคะ ว่ามันจะสามารถบล็อคโฆษณาพวกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าทาง Google ก็จะต้องคอยพัฒนาและปรับปรุงฟีเจอร์นี้ให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จากเสียงตอบรับของเหล่าผู้ใช้งานนี่แหละ

ที่มา : theregister












































































































































ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม