สายสัญญาณ Balance และ Unbalance และส่วนประกอบต่างๆของสายสัญญาณ
สายสัญญาณ Balance
และ Unbalance และส่วนประกอบต่างๆของสายสัญญาณ
https://www.sounddd.shop/balance-unbalance/
สายสัญญาณ Balance และ Unbalance
และส่วนประกอบต่างๆของสายสัญญาณ
มีอะไรบ้าง? สวัสดีครับทุกท่านวันนี้ผมก็ได้คัดสรรค์บทความดีๆมาฝากอีกเช่นเคยครับ
ผมคิดว่าเป็นอะไรที่สำคัญมากในระบบเสียงของเรา ฉะนั้นเรามาติดตามดูกันเลยครับ
เรามาอัพความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ใกล้ตัวที่หลายท่านอาจละเลย
และ ให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญอันดับท้ายๆของระบบเสียงกันบ้าง นั่นก็คือ
สายสัญญาณนั่นเอง
สายสัญญาณคือส่วนประกอบของระบบเสียงไม่ว่าจะเป็น
ระบบเสียงภายในบ้านหรือที่เขาเรียกว่า โฮมยูส จนถึงงานกลางแจ้ง หรืองาน PA ก็ต้องมีสายสัญญาณเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ
เช่น ตั้งแต่ไมโครโฟน เครื่องเล่นซีดี เครื่องดนตรี ต่างๆ
ต่อพ่วงสัญญาณไปเข้ามิกเซอร์ และมิกเซอร์ต่อไปเข้า
เครื่องปรุงแต่งเสียงต่างๆจนไปถึงเครื่องขยายเสียง
ล้วนแต่ก็ต้องเชื่อมต่อสัญญาณผ่านสายนำสัญญาณ เป็นส่วนใหญ่
จากประสบการณ์ส่วนตัว
สายสัญญาณแต่ละยี่ห้อ แต่ละค่าย ให้คุณภาพเสียงที่แตกต่างกันจริง
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะขึ้นอยู่ที่ตัวนำภายในสาย ระบบการผลิต ความต้านทาน
และตัวแปรอื่นๆ เราจะเห็นในท้องตลาดวางขายกันให้รึ่ม ตั้งแต่ราคาหลักสิบ
จนถึงหลักร้อยและหลักพันบาทต่อเมตร วางขาย กันเยอะแยะ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบนำสายสัญญาณแต่ละยี่ห้อ
มาเทียบกัน ในขนาดความโตของตัวนำสัญญาณเท่าๆกัน ก็จะเห็นว่า
มันมีความต่างของเสียงอยู่ไม่มากก็น้อย
จริงๆแล้วสายสัญญาณและสายลำโพงในระบบก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าอุปกรณ์อื่นแต่อย่างใด
อยากให้ผู้ที่มีใจรัก ไม่ว่าจะเครื่องเสียงในบ้านหรือกลางแจ้ง
หันมาใส่ใจกับสายสัญญาณและสายลำโพงกัน
แล้วคุณจะหลงรักเครื่องเสียงของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
เดี๋ยวเรามาชมส่วนประกอบของสายสัญญาณกันบ้างว่ามีอะไรเป็นส่วนประกอบ
และหน้าที่ของมันคืออะไร ติดตามพร้อมๆกันเลยครับ
สายสัญญาณมีส่วนประกอบหลักมีดังนี้
1. Jacket แจ็คเก็ท
เป็นส่วนนอกสุดของสายสัญญาณ
มีความหนาและบางตามผู้ผลิต ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นกับ
ส่วนต่างๆที่อยู่ภายในสาย ช่วยรักษารูปทรง ของส่วนต่างๆที่อยู่ภายในสายสัญญาณ
2. Shield ชีลด์
ส่วนถัดมา ชีลด์
ซึ่งก็มีทั้งแบบเส้นลวดฝอยถักหรือที่เรียกว่า Braid (เบรดชีลด์)
ซึ่งมีทั้งสีเงินและทองแดง และแบบฟอยสีเงิน (Foil) ซึ่งทำหน้าที่หลักๆคือ
รวมเสียงรบกวนต่างๆมาอยู่ที่ตัวมันเอง และลดเสียงรบกวน (Noise) ได้
3. Insulation อินซูเลชั่น
ส่วนที่หุ้มตัวนำสัญญาณอีกที
มีหน้าที่ประคองรักษารูปทรงและป้องกันตัวนำสัญญาณอีกชั้นหนึ่ง
ในส่วนของอินโซเลชั่น ก็จะมีหลากหลายสี เพื่อบ่องบอกโค๊ด เช่นสี แดง ดำ น้ำเงิน
ขาว น้ำตาล และอื่นๆเป็นต้น
4. Conductor คอนดักเตอร์
ส่วนสุดท้าย
คอนดักส์เตอร์หรือตัวนำสัญญาณหน้าที่นำสัญญาณทางไฟฟ้า ตัวนำไฟฟ้ามีหลายชนิด เช่น
ทองแดง เงิน ดีบุก เป็นต้น
คราวนี้เรามาดูขนาดของสายสัญญาณกันบ้าง
ขนาดของสายสัญญาณมีหน่วยเป็น AWG และ SWG
AWG อเมริกันวายเกรด
(American
wire gauge) นิยมใช้ในอเมริกาและแคนาดา
และทั่วไป
SWG สแตนดาร์ดวายเกรด
ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า AWG อยู่หนึ่งเบอร์โดยประมาณ ซึ่งนิยมใช้ในสหภาพ UK
หมายเหตุ:
·
ขนาดสายสัญญาณที่เล็กจะมีค่า
AWG ที่มาก
·
ขนาดสายสัญญาณที่ใหญ่จะมีค่า
AWG ที่น้อย
สายสัญญาณที่พบเห็นทั่วไปในบ้านเราที่นิยมนำมาใช้งาน มี
สองแบบ
1. สาย Unbalance (อัลบาลานซ์)
นิยมใช้งานประเภทคอนซูเมอร์หรือโฮมยูส
เน้นเดินสายระยะใกล้ ไม่แนะนำเดินสายระยะไกล
เพราะจะมีการลดทอนและสูญเสียพลังงานและเกิดเสียงจี่หรือฮัมได้ ลักษณะสายจะมีตัวนำ
เส้นเดียวและกราวด์อีกหนึ่งเส้นตามภาพ
2. สาย Balance (บาลานซ์)
ลักษณะจะมีตัวนำสองเส้นและลวดที่เป็นกราวด์อีกหนึ่งเส้น
ประกอบไปด้วย ตัวนำที่เป็นขั้วบวกลบและกราวด์
สายประเภทนี้เดินสายระยะไกลได้นิยมใช้กับงานระบบเสียง PA. และจะให้สัญญาณที่แรงกว่าถึงบวก
4 dB
ซึ่งสายสัญญาณทั้งสองแบบมีข้อแตกต่างดังต่อไปนี้
1. สายแบบบาลานซ์ Balance
Signal จะมีระดับสัญญาณ
(+4dB)
2. สายแบบอัลบาลานซ์ Unbalance
Signal จะมีระดับสัญญาณ
(-10dB)
เบื้องต้นจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
ว่าสายสัญญาณแบบบาลานซ์ให้ระดับความแรงของสัญญาณที่แรงกว่า
คอนเนคเตอร์หรือปลั๊กแจ๊คที่นิยมใช้กับสายสัญญาณ Balance
และสาย Unbalance
หัวแจ็คที่นิยมใช้กับสายสัญญาณ Balance
มี 2 แบบหลักๆ คือ
1. XLR (เอ็กแอลอาร์)
มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย บางท่านเรียกปลั๊กแจ๊คแบบนี้ว่า แคนนอล (EXTRA
LOW RESISTANCE) คือ
สัญญาณที่มีความต้านทานค่อนข้างต่ำมาก จึงเป็นผลทำให้สามารถเดินสายสัญญาณได้ไกลๆ
และมีสัญญาณรบกวนต่ำ โดยขาต่างๆ ปัจจุบันที่เชื่อมต่อกันเป็นมาตรฐานสากล คือ
ขาที่ 1 ground
หรือ
shield
ขาที่ 2 สัญญาณ + หรือ HOT
SIGNAL
ขาที่ 3 สัญญาณ – หรือ COOL
SIGNAL
2. TRS
6.3 mm. หรือโฟนสเตอริโอ
(TIP RING SHEEVE) ซึ่งหมายถึง จุด ต่อสามจุดของแจ็คแบบ TRS โดย TIP จะเปรียบเสมือน ขาที่ 2 ของแจ็ค XLR,
RING จะเหมือน
ขาที่ 3 ของแจ็ค
XLR และ SHEEVE จะเหมือนกับ ขาที่ 1 ของแจ็ค XLR (สายแบบนี้ทั่วไปหลายๆคนมักจะคุ้นหูหรือเรียกว่าสาย
Streo นั่นเองครับ)
สายสัญญาณแบบ Balance ข้อดีคือสัญญาณ + และสัญญาณ
– จะถูกแยกออกจากกัน
โดยมีสาย Shield เป็น Ground ที่เดินคู่ขนานมาเพื่อป้องกันสัญญาณรบการจากภายนอก
ซึ่งนั่นทำให้สัญญาณที่ได้มีความสะอาดใส และเสียงสัญญาณรบกวนที่เรียกกันว่า NOISE ก็จะน้อยด้วยครับ
หัวแจ็คที่นิยมใช้กับสายสัญญาณ Unbalance
มี 2 แบบหลักๆ คือ
1. RCA อาร์ซีเอแจ๊ค
ซึ่งนิยมใช้ในงานคอนซูเมอร์โฮมยูส
2. TS
Phone 6.3mm. หรือ
โฟนโมโน
(ซึ่งทั้ง
โฟนโมโนและอาร์ซีเอแจ๊ค จะมีขั้วต่อเพียง 2 ขั้ว) การต่อสัญญาณแบบ Unbalance
จะรวมเอาสัญญาณ
( ลบ- ) หรือ COOL SIGNAL มารวมไว้กับ Ground หรือ SHEEVE ทำให้แทนที่ว่าสาย Ground จะต้องทำหน้าที่ป้องกันเสียงรบกวนอย่างเดียวแบบสัญญาณ
Balance ก็จะต้องใช้มาทำหน้าที่นำสัญญาณอีกด้วย
ดังนั้นสัญญาณรบกวนจากสาย Ground จึงปะปนมากับสัญญาณ – อย่างแน่นอน
จึงทำให้การต่อแบบ Unbalance มีสัญญาณรบกวนมากกว่าหากเราต้องเดินสายสัญญาณไกลๆ
การใช้สายสัญญาณแบบ Unbalance
นั้นจะใช้เฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้สายไม่ยาวมากนัก
เช่น สายแจ็คกีตาร์ สายแจ็ค CD, DVD,TAPE , TUNER และอุปกรณ์คอนซูเมอร์โฮมยูสเป็นส่วนใหญ่
สรุป
คือสัญญาณ Balance จะให้การนำสัญญาณที่แรงและเต็มกว่า
และสัญญาณรบกวนน้อยกว่า
ซึ่งต่างจากสายสัญญาณแบบ
Unbalance ซึ่งจะมีสัญญาณที่เบากว่าเเละมีสัญญาณรบกวนมากกว่าแบบบาลานซ์
การเลือกใช้สายสัญญาณต้องคำนึงถึงลักษณะงานเป็นหลัก
และลองเทียบคุณภาพเสียง และดูส่วนประกอบต่างๆประกอบกัน
เพื่อให้ได้สายสัญญาณคุณภาพตรงตามความต้องการมาใช้งาน
สำหรับบทความนี้หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน
ขอบคุณและสวัสดีครับ อยากมารู้จักกับสายสัญญาณประเภทต่างๆเพิ่มเติม
คลิกเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น