เทคโนโลยีบ้านลอยน้ำ…แนวคิดบ้านสู้ภัยน้ำท่วม

 

เทคโนโลยีบ้านลอยน้ำ…แนวคิดบ้านสู้ภัยน้ำท่วม

  • Written by  หยาดน้ำค้าง 
  • Monday, 23 September 2013 14:49 
  • font size decrease font size increase font size 
  • Print
Rate this item
(4 votes)

สถานการณ์น้ำท่วมยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกำลังกระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ก่อให้เกิดความเสียหายนานับประการ ทั้งด้านชีวิต ทรัพย์สิน และด้านจิตใจ จากการตระหนักถึงความสำคัญที่จะป้องกันภัยแก่ประชาชนดังกล่าว จึงได้ศึกษาหาข้อมูลทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมที่ยากจะแก้ไขในปัจจุบัน และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบปัญหาดังกล่าวได้ จะเห็นได้ว่าบ้านคนไทยในอดีตส่วนใหญ่ในพื้นที่ลุ่มภาคกลางของประเทศไทยมีลักษณะยกใต้ถุนสูง ประมาณ 1.50 - 1.80 เมตร ซึ่งในช่วงฤดูน้ำหลากพื้นที่ลุ่มบริเวณนี้เป็นพื้นที่สำหรับรับน้ำที่ไหลผ่านตามฤดูกาล ซึ่งปกติจะมีน้ำหลากมาท่วมไร่นา ในสมัยโบราณบ้านไทยส่วนใหญ่จะปล่อยให้น้ำท่วมใต้ถุน และใช้ชีวิตประจำวันอยู่ด้านบน เมื่อถึงฤดูแล้งก็จะลงมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ใต้ถุนอาคาร นอกจากนี้การที่พื้นที่ส่วนใหญ่ในพื้นที่ลุ่มเป็นพื้นที่เกษตรกรรมทำให้น้ำสามารถไหลผ่านได้สะดวก น้ำจึงท่วมแค่ประมาณ 1.00 -1.20 เมตร รวมถึงความสูงของคนไทยทั่วไปมีความสูงไม่ถึง 2.00 เมตร จึงทำให้ความสูงของใต้ถุนบ้านไทยนี้มีความพอเพียงและเหมาะสมกับคนไทยต่อมาน้ำท่วมมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น จะพบว่าในกรณีที่น้ำท่วมถึงประมาณ 1.50-1.80 เมตร บ้านไทยก็ยังคงสามารถใช้งานได้ แต่ในปี พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา พบว่าน้ำไม่ได้ท่วมแค่ 1.00-1.80 เมตร อีกต่อไป บางพื้นที่ มีน้ำท่วมสูงถึงกว่า 3.00-4.00 เมตร [1]โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ท่าจีน ด้วยเหตุนี้บ้านไทยในอดีตจึงไม่ใช่คำตอบของการอยู่อาศัยในอนาคตของพื้นที่ลุ่มที่น้ำท่วม

การเกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้เป็นเพียงสัญญาณบอกถึงความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่มีเพิ่มขึ้นที่และจะเกิดขึ้นในอนาคต เหตุผลที่ความรุนแรงของน้ำท่วมมีมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพผังเมืองจากพื้นที่เกษตรกรรม ไร่นา เปลี่ยนเป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน หรือโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น การสร้างอาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะนำดินมาถมพื้นที่ลุ่มให้สูงและสร้างอาคารด้านบน หรือการสร้างคันกั้นน้ำ (Dike) การทำเช่นนี้ทำให้พื้นที่ลุ่มที่เคยใช้เป็นทางผ่านของน้ำหลากตามฤดูกาลถูกทำลายไป จึงทำให้น้ำท่วมมีระดับน้ำสูงขึ้น เพราะพื้นที่นาถูกแทนที่ด้วยดินถมมากั้นทางน้ำ แนวทางการแก้ไขปัญหาต่อมาคือการสร้างเขื่อนริมแม่น้ำให้สูงขึ้นเพื่อบังคับทิศทางน้ำ ซึ่งเป็นแนวทางที่มีการลงทุนสูง ทั้งนี้เหตุการณ์น้ำท่วมในปี พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมาหลายท่านอาจคิดว่าเป็นเพราะสภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยน-แปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เกิดจากธรรมชาติ แต่สาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งของน้ำท่วมในครั้งนี้น่าจะเกิดจากปัจจัยการกระทำของมนุษย์ หรือการบริหารจัดการ การพัฒนา การใช้ที่ดินและผังเมือง ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาในอนาคตจึงควรคำนึงถึงการกำหนดการใช้ที่ดินและกำหนดพื้นที่รับน้ำ และยอมให้น้ำหลากไหลผ่าน (Flood Plain) ดังพระราชดำรัสของพระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์พระราชทานคำแนะนำในการแก้ปัญหาอุทกภัยใหญ่ในปี พ.ศ. 2538 เกี่ยวกับเรื่องทางน้ำผ่าน น้ำไหล หรือฟลัดเวย์ (Flood Way) และเพื่อให้ชีวิตการเป็นอยู่ของคนจำนวนหนึ่งมีทางออก จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ทำได้ยาก เนื่องมาจาก

1. การแก้ไขเรื่องผังเมืองและการใช้ที่ดินต้องใช้ระยะเวลานาน

2. การใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำจะป้องกันน้ำหลากได้ยากเพราะเป็นธรรมชาติของการไหลของน้ำ

3. การเกิดสภาวะโลกร้อนที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก และการตัดไม้ทำลายป่า

4. ความต้องการของการปรับปรุงเปลี่ยน-แปลงที่ดิน โดยการถมที่และยกที่ดินให้สูงขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการกีดขวางทางน้ำ
               ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำท่วมและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก รวมทั้งสมาชิกขององค์การสิ่งแวดล้อมในประเทศอังกฤษ (UK) รวมทั้งหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา (USA) ต่างยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลให้เกิดความถี่ของอุทกภัยหรือน้ำท่วมเพิ่มขึ้นในทั่วทุกมุมโลก ความรุนแรงในศตวรรษหน้าอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจึงได้มีการออกแบบบ้านป้องกันน้ำท่วม Flood-Proof House หรือ FPH ขึ้น [2]เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยในช่วงน้ำท่วม และที่สำคัญที่สุดคือช่วยลดผลกระทบของน้ำท่วม ลดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยขั้นตอนที่นำไปสู่การออกแบบ FPH เริ่มต้นการวิจัยข้อมูลน้ำท่วมในปัจจุบัน เทคนิคต่างๆในการบรรเทาผลกระทบ และเทคโนโลยีใหม่ๆในการจัดการและรับมือน้ำท่วม
        ในส่วนของประทศไทย เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2550 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมายังกรมโยธาธิการและผังเมือง และได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับ "บ้านลอยน้ำ" ดังนั้นทางกรมโยธาธิการและผังเมือง จึงได้นำเอาแนวคิดดังกล่าวมาปรับใช้จาก "บ้านลอยน้ำท่าขนอน" ซึ่งบ้านลอยน้ำท่าขนอน  อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในพื้นที่ โดยบ้านลอยน้ำนั้นมีลักษณะเป็นเรือนแพ ซึ่งในฤดูแล้งตัวบ้านจะตั้งอยู่บนพื้นดินตามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาน้ำท่วม ตัวบ้านก็จะลอยขึ้นตามระดับน้ำ และมีการยึดตัวบ้านเอาไว้กับเสาหลักเพื่อป้องกับการโคลงตัว หรือลอยไปตามกระแสน้ำ จากนั้นพอเวลาน้ำลดลง บ้านก็จะกลับมาตั้งตัวอยู่บนพื้นดินเหมือนเดิม จะเห็นได้ว่าหลายคนเริ่มมีการนำแนวคิดเรื่อง "บ้านลอยน้ำ" ทั้งของไทย และต่างประเทศ มาประยุกต์ใช้ เพื่อการสร้างที่อยู่อาศัยในการรับมือน้ำท่วม ที่มีแนวโน้มการเกิดถี่ขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมืองที่อยู่ริมน้ำ ในกรณีตัวอย่างต่างประเทศ อาทิ บ้านในประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่เมือง Maasbommel หรือบ้านในออนตาริโอ ประเทศแคนาดา [3] ซึ่งสร้าง ด้วยโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาสามารถลอยน้ำได้

]

รูป: บ้านลอยน้ำประเทศเนเธอร์แลนด์ และบ้านในออนตาริโอ ประเทศแคนาดา


หรือแนวคิด “บ้านลอยน้ำพลังงานอาทิตย์” จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ซึ่งมักนำเสนอไอเดียร์เด็ดๆในการออกแบบ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานทั้งสิ้น และโครงการดังกล่าวกำลังจะกลายเป็นความจริงในเร็ว ๆ นี้

 

รูป: แนวคิดบ้านลอยน้ำพลังงานอาทิตย์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์

 

ที่มา: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1323768438&;grpid=01&catid=01.

 

แนวคิดของนวัตกรรมบ้านลอยน้ำในประเทศไทย

 

แนวคิดในการแก้ปัญหา พบว่าปัญหาน้ำท่วมที่มีระดับน้ำแปรปรวนตลอดเวลา มีทั้งระดับน้ำที่ขึ้นสูงและลงต่ำขึ้นลงเกือบทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงในช่วงระยะเวลาประมาณ 1 - 4 เดือนของฤดูน้ำหลาก ระดับน้ำมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับพื้นดินชื้นแฉะ ไปจนถึงระดับน้ำสูง 2 - 4 เมตร ดังนั้นบ้านจะต้องสะเทินน้ำสะเทินบก สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าระดับน้ำจะสูง ต่ำ หรือเพียงดินชื้นแฉะ บ้านจะต้องสามารถวางอยู่บนดินได้ ลอยอยู่บนน้ำได้ โดยกินระดับน้ำที่ต่ำ รวมถึงสามารถเคลื่อนย้ายได้ด้วยแรงคน 6 - 10 คน ได้

 

ลักษณะสำคัญของบ้านลอยน้ำ [4]

 

1. บ้านลอยน้ำที่เหมาะสมกับการใช้งานสามารถอยู่บนทุ่นลอยน้ำ และใช้ประโยชน์ทุกส่วนของอาคารบ้านสามารถอยู่บนทุ่นลอยน้ำหรือมีวัสดุที่สามารถรองรับน้ำหนักของบ้านได้ โดยเมื่อรับน้ำหนักบรรทุกทั้งหมดแล้ววัสดุนั้นควรจมลงจากผิวน้ำประมาณ 0.15 - 0.20 เมตร ทั้งนี้เพื่อให้การก้าวขึ้นบ้านได้สะดวกในกรณีที่บ้านวางอยู่บนดินและไม่มีปัญหาบ้านเกยตื้น ในกรณีระดับน้ำต่ำ น้ำหนักรวมของบ้านควรมีน้ำหนักประมาณ 600 กิโลกรัม หรือประมาณครึ่งตัน ซึ่งสามารถยกได้ด้วยแรงคนประมาณ 6 - 10 คน จึงเกิดรูปแบบการออกแบบบ้านลอยน้ำที่มีความยืดหยุ่นสูง คือพื้นแบนเรียบสามารถวางอยู่บนดินได้ บนพื้นหญ้าได้ หรืออยู่ในสวนได้สามารถเคลื่อนย้ายได้ เมื่อไม่เกิดการใช้งานก็สามารถใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ ในบทความนี้จึงนำเสนอ การใช้วัสดุโฟม หนาประมาณ 0.30 เมตร สามารถรับน้ำหนักบรรทุก 280 กิโลกรัม ต่อตารางเมตร ในขณะที่บ้านพักอาศัยส่วนใหญ่การออกแบบเพื่อป้องกันการโคลงของบ้าน บทความนี้เสนอรูปแบบให้เป็นทุ่นลอยที่เน้นการใช้งานบริเวณพื้นที่ตรงกลางที่ใช้เป็นทางสัญจรหลัก และกิจกรรมหลักอื่นๆ ของบ้าน เพื่อทำให้เกิดความสมดุลของน้ำหนักบ้านตลอดเวลา นอกจากนี้การที่บ้านลอยน้ำเป็นบ้านชั้นเดียวจะช่วยให้เกิดความเสถียรมากขึ้น โดยการกำหนดความสูงของบ้านเพื่อสร้างจุดศูนย์ถ่วง (Center of Gravity; C.G.) ของบ้านให้ต่ำ ป้องกันการเกิดการพลิกคว่ำออกแบบน้ำหนักจร (Live Load) เท่ากับ 150 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ดังนั้นจะเหลือน้ำหนักที่ทุ่นรับได้อีกประมาณ130 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับตัวบ้าน (Dead Load) [5]ขนาดและรูปทรงของบ้านออกแบบให้การใช้สอยหลักอยู่บริเวณตรงกลางเน้นความแคบ ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายไปตามถนนได้ ความกว้างไม่เกิน 3.60 เมตร เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายง่ายหากมีความจำเป็นต้องการการใช้สอยแบบขยายเป็นชุมชน (Community)สามารถจับกลุ่มของบ้านเป็นเรือนกลุ่มได้

 

รูป: แสดงรูปทรงที่มีความหลากหลายในการออกแบบและเน้นพื้นที่ใช้สอยอยู่บริเวณกลางอาคารหลังคาคือ 14 องศา

 

อย่างไรก็ตามในเชิงปฏิบัติ มุมลาดเอียดอาจมีความยืดหยุ่นได้ในช่วง 15 - 30 องศา และนอกจากมุมเอียงทางแนวระนาบแล้ว มุมของผืนหลังคาในแปลนควรกระทำกับทิศทางของดวงอาทิตย์เป็นมุมตั้งฉาก กล่าวคือบ้านต้องสามารถหมุนเพื่อปรับมุมสำหรับกระทำกับทิศทางดวงอาทิตย์ได้

 

รูป: ลักษณะการออกแบบก่อสร้างและตัวอาคารบ้านลอยน้ำ

 

ที่มาhttp://bubuiainstitute.wordpress.com/category/house/.

สำหรับขนาดของบ้านลอยน้ำ การออกแบบนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของวัสดุที่มีขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด ซึ่งหาซื้อได้ง่าย อีกทั้งยังก่อสร้างได้ง่ายด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีโครงสร้างเป็นรูปแบบที่ไม่ซับซ้อน ชาวบ้านที่มีความรู้ด้านช่างในระดับทั่วไปก็สามารถก่อสร้างเองได้ ส่วนบ้านที่เห็นในภาพตัวอย่าง มีขนาดพื้นที่รวมประมาณ 60 ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่ใหญ่มาก เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างและการลอยน้ำ แต่หากมีความต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้นก็อาจเชื่อมต่อหลายหลังเข้าด้วยกัน โดยใช้สะพานทางเชื่อมพาดระหว่างชานรอบตัวบ้าน  อย่างไรก็ตาม แบบบ้านลอยน้ำนี้ หวังว่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ ต้องอยู่อาศัยในพื้นที่ที่ประสบภัยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่เป็นที่ลุ่ม ซึ่งอาจจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบและพื้นที่ใช้สอยให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องต่อความต้องการต่อไป

 

รูป: แบบแปลนบ้านลอยน้ำ

 


แบบแปลนบ้านลอยน้ำ
               ขนาดพื้นที่ 
  [6]
          ประมาณ 60 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่อยู่อาศัย 23 ตารางเมตร ส่วนทำอาหารห้องน้ำและซักล้าง รวม 37 ตารางเมตร
               ราคาค่าก่อสร้าง  
          โดยประมาณ 719,000 บาท (กรณีปลูกสร้างเอง) ไม่ต้องใช้ผู้รับจ้างเหมาและประมาณ 915,000 บาท (กรณีมีผู้รับจ้างเหมา)
               วัสดุก่อสร้าง 
          ใช้วัสดุก่อสร้างพื้นฐานทั่วไปที่สามารถหาได้ง่ายในท้องตลาด ซึ่งสามารถดัดแปลงได้ตามความเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ทุ่นลอยเป็นถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร หรือถังไฟเบอร์กลาส กรณีต้องการความทนทานเพิ่มขึ้น
               ระบบสุขาภิบาล 
          ใช้ระบบการย่อยสลายโดยมีถังบรรจุจุลินทรีย์ EM ติดตั้งอยู่ใต้ห้องน้ำ เพื่อย่อยสลายและเร่งการตกตะกอนของสิ่งปฏิกูล

 

คุณสมบัติบ้านลอยน้ำ

 

■ ได้รับการออกแบบให้มีความเสถียร (Stable) ไม่โยกโคลงเหมือนเรือ

 

■ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองด้วยระบบต่างๆที่เสริมเข้าไป เช่น

 

● ระบบผลิตไฟฟ้าโซล่าเซลล์ เก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่จ่ายไฟฟ้ากระแสตรง สำหรับไฟฟ้าแสงสว่าง และไฟฟ้ากระแสสลับสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป ได้แก่ เครื่องชาร์ตแบตเตอรี่โทรศัพท์ โทรทัศน์ ตู้เย็น และเตาไมโครเวฟ เป็นต้น

 

● ระบบน้ำดื่มเป็นระบบ Reverse Osmosis

 

● ระบบสุขาภิบาล เป็นระบบบ่อดักไขมันและกักเก็บของเสียแบบพกพา (Portable) นำไปถ่ายเทสู่ระบบสาธารณะ

 

■ สามารถลอยน้ำและเคลื่อนที่ได้ในฤดูน้ำท่วม เมื่อน้ำลดสามารถเป็น Living Unit ที่อยู่ได้ด้วยตัวเองบนพื้นดินเช่นกัน

 

■ มีน้ำหนักเบา ด้วยองค์ประกอบแผ่นโฟมและไฟเบอร์กลาสชนิดไม่ติดไฟและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

 

■ เป็นนวัตกรรมที่อยู่อาศัยแห่งยุคอนาคตที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐใช้ได้ในทุกสภาพภูมิอากาศลัก

 

■ สามารถอยู่อาศัยได้ทั้งครอบครัว

 

■ พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านลอยน้ำขนาดครอบครัว สามารถใช้เป็นพื้นที่ส่วนต่างๆดังนี้ ส่วนห้องนอน ส่วนห้องน้ำ ส่วนห้องครัว และส่วนสันทนาการ

 

 สามารถจอดรถยนต์และเคลื่อนที่ ไปพร้อมกับตัวบ้านได้ [7]

 

บ้านลอยน้ำในบทความนี้เป็นแนวทางในการรับมือปัญหาน้ำท่วมด้านที่อยู่อาศัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่อยู่อาศัยสำหรับยุคปัจจุบันและอนาคต เป็นจุดเริ่มต้นที่ใช้หลักคิดเพื่อความยั่งยืน ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ไม่ต้องใช้น้ำประปา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนได้โดยไม่ใช้พลังงานจากภายนอก แนวคิดนี้ก่อให้เกิดการสร้างชุมชนได้โดยใช้พื้นที่ใช้สอยอย่างถูกต้อง ประหยัด และนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างยั่งยืนที่เป็นการบูรณาการองค์ความรู้ทุกสาขา มาสรรค์สร้างเป็น “นวัตกรรมบ้านลอยน้ำ” ที่อยู่-อาศัยยุคปัจจุบันและอนาคต

 

 

 

อ้างอิง

 

[1] สำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน (2555). พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับสั่งเรื่อง การป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 2538. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://kromchol.rid.go.th/lproject/2010/index.php/2011-07-21-14-07-58/261--2538 [2555, มกราคม 30].

 

[2] D. Han, J. Davis, Z. Hu, G. Lan, E. Maren and C. Twyman. 2007. Design Studies on Flood-Proof House. Sponsored by ICE R&D Enabling Fund. Department of Civil Engineering University of Bristol .

 

[3] Inspiration Green. 2011. Floating Homes - 2 types. From http://www.inspirationgreen.com/floating-homes.html.

 

[4] สุธีวัน โล่ห์สุวรรณ และมูลนิธิลดโลกร้อน“บ้านลอยนนวัตกรรมที่อยู่อาศัยยุคปัจจุบันและอนาคต

 

(Floating Houses : Innovative Housing for the Present and Future) ธนาคารอาคารสงเคราะห์

 

[5] Jun ZHANG, Guo-ping MIAO, Jian-xun LIU and Wen-jun SUN. 2008. Analytical Models of Floating Bridges Subjected by Moving Loads for Different Water Depths. Journal of Hydrodynamics, Ser. B 20(5); 537–546.

 

[6]www.kapook.com. เผยแบบแปลน บ้านลอยน้ำ แนวคิดจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ. แหล่งที่มา: http://hilight.kapook.com/view/63246.

 

[7]กรมโยธาธิการและผังเมือง. บ้านลอยน้ำ. วารสารกรมโยธาธิการและผังเมือง JOURNAL OF DEPARTMENT OF PUBLIC WORKS AND TOWN & COUNTRY PLANNING. แหล่งที่มา: http://eservices.dpt.go.th/eservice_6/ejournal/36/36-04.pdf?journal_edition=36.




Last modified on Monday, 23 September 2013 15:03



http://dpm.nida.ac.th/main/index.php/articles/flood/item/213-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1























































































































ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม