วิธีดูใยแก้วหมด ดูยังไง?

วิธีดูใยแก้วหมด ดูยังไง? 

ขอขอบคุณที่มา

https://www.facebook.com/fixsperformance/posts/4817375978322439


ท่อ Akrapovic Xmax ใยแก้วแท้เดิมๆ หนักประมาณนี้ครับ ใยแก้วแท้ๆของ Akarpovic มีลักษณะต่างกันถึง 4 ชิ้นนะครับ ราคาก็สูงเอาเรื่องเลยครับมีตั้งแต่ 4,000-9,500 บาทครับ






ส่วนใบนี้ใส่ใยแก้วญี่ปุ่นซึ่งเป็นใยแก้ว 1 ชั้นแบบแผ่น จะเห็นได้ชัดเลยว่าน้ำหนักต่างกันพอสมควรครับ


วิธีดูใยแก้วหมด ดูยังไง?
มาๆๆๆๆ เดี๋ยวแอดมินจะเล่าให้ฟัง ครั้งนึงตอน R&D หรือฝ่ายออกแบบของ Akrapovic มาที่ไทย
แอดมินมีโอกาสได้ถามเรื่องนี้ 1 ในวิธีที่ทางต่างประเทศใช้กันคือ ชั่งน้ำหนักครับ
โดยยกตัวอย่างเช่นท่อ Akrapovic ของ Xmax 300 ใหม่ๆเลย จะมีน้ำหนักเฉลี่ยที่ 3.0-3.2 Kg
ดังนั้นหากแยก น้ำหนักของใยแก้วแท้ออกไปซึ่งมี นน.ประมาณ 600-700 กรัม
ตัวท่อนั้นจะเหลือ นน.เพียง 2..2-2.5 นั่นแสดงว่าท่อใบนั้นใยแก้วหมดเรียบร้อยครับ(ไม่ละลายก็ปลิวออกครับ)
แต่ที่วิธีนี้จะใช้ไม่ได้กับท่อที่ใยแก้วไหม้เป็นโพรง หรือมีรอยไหม้จากรอบสูงๆ เพราะท่อยังมี นน.ตามกำหนดอยู่แต่เป็นโพรงเฉยๆ แบบนี้ท่อก็ไหม้ได้ครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดังนั้นจะมีจุดสังเกตประมาณนี้นะครับ จากเบาๆไปหาแบบอาการแย่แล้ว 5555
1.ท่อเสียงแตกหรือก้องๆ โล่งๆ
2.ตัวปลายท่อมีความร้อนในจุดที่ไม่เคยมี
3.สีท่อเริ่มคล้ำจากความร้อนแบบ ไม่สม่ำเสมอ (ถ้าเหลืองทั้งใบนั่นปกติครับ)
4.เริ่มมีรอยไหม้ขึ้นเป็นจุดๆ ดวงๆ
5.เพลทหรือสติ๊กเกอร์เริ่มซีดไหม้
6.มีอาการ After Firing หรือท่อตด บ่อยกว่าปกติ
7.เสียงเหมือนรถไม่มีท่อ ดูแว้นซ์ ท่อดังจัง แต่รถไม่มีแรงเลย ไม่มีแรงอัด เสียงไม่ได้ อารมณ์ไม่ได้
8.รู้สึกตัวอีกที ใยแก้วหมดจนปลายท่อระเบิดปลิวหายไปแล้ว อันนั้นเตรียมหาท่อใหม่ได้เลยครับ 5555
--------------------------------------------------------------------------
ส่วนเรื่องระยะการใช้งานแอดมินเลยสรุป มาให้อ่านกันประมาณนี้ครับ
1.ระยะทางในการใช้งานของใยแก้วสำหรับ รถ CVT(รถสายพาน ออโต้) จะมีอายุใยแก้วเฉลี่ยที่ 25,000-35,000 กม. ในการใช้งานทั่วไปนะครับ
2.ถ้าเป็นรถระบบเกียร์จะมีอายุประมาณ 35,000-60,000 กม.ครับ ใช้ถนอมๆอาจะได้ถึง 80,000-100,000 กม.เลยครับ
3.จากข้อ 1-2 หากใช้รอบสูงนานๆต่อเนื่องกัน หรือรถจูนเครื่องมา หาร 2 ได้เลยครับ
4.ท่อออกท้าย ยิ่งยาว ใยแก้วจะทน กว่าท่อที่สั้น เช่นท่อที่อยู่ ด้านล่างเครื่องยนต์ครับ เพราะอยู่ไกล ไอเสียจุงไม่ร้อนเท่า ท่อที่อยู่ใกล้ครับ
5.ท่อคู่ใยแก้วจะหมดช้ากว่าแบะให้เสียงที่นุ่ม เงียบกว่า ท่อใบเดียวครับ แต่เปลี่ยนใยแก้วทีนึงก็จ่ายเยอะหน่อยครับ เพราะต้องเปลี่ยนพร้อมกัน 2 ใบ
6.รถ 4 สูบ ใยแก้วหมดช้ากว่ารถ 2 สูบและสูบเดียวครับ เนื่องจากแรงดันและความร้อนจากการระเบิดของรถ 1-2 สูบมีมากกว่าครับ
7.สาเหตุที่ใยแก้วหมด กว่า 60% มาจากปลิวออกไปจากท่อครับ ที่เหลือก็ทนความร้อนไม่ไหวครับ ละลายไปบ้างครับ
8.ท่อที่มีขนาดใหญ่ (ไม่ได้หมายถึงไส้ท่อนะครับ)จะเก็บเสียงได้ดี เนื่องจากมีปริมาตรใยแก้วเยอะ และไม่ต้องคอยมาเปลี่ยนบ่อยๆครับ เช่นรถ ทัวร์ริ่งเป็นต้นครับ
9.อีก 1 อย่างที่หลายคนไม่รู้คือ ถ้าใยแก้วหมดจะรู้สึกว่ารถไม่แรง นั่นคือเรื่องจริงครับ เพราะไอเสียออกได้ไม่เป็นระเบียบ เนื่องจากไปหมุนวันอยู่ในหม้อพัก ที่ใยแก้วหายไปนั่นเองครับ
10.ใยแก้วเกรดสูงๆ จะเหนียวและ ทนความร้อนได้ระดับนึง ที่สำคัญจะซับเสียงได้มากกว่าตัวถูกๆครับ และเสียงจะคงที่ได้นานครับ
11.ใยแก้วที่ราคาถูก จะยุ่ยและปลิวง่าย ทนความร้อนไม่ได้มาก ซับเสียงได้เหมือนกันครับ แต่ไม่คงที่ครับ แปปๆเสียงก็เปลี่ยนละ
12.ใยแก้วจะหมดช้าหรือเร็ว สาเหตุหลักๆเลยคือ นิสัยการขับขี่ของเจ้าของครับ ถ้าขี่แช่นานๆ ใช้รอบสูงๆก็หมดไวครับ ขี่ทั่วไปความร้อนไม่สูงมากก็หมดช้าครับ
13.อีกข้อครับ ท่อที่มีไส้ใหญ่ ใยแก้วจะหมดช้ากว่าท่อที่มีไส้เล็ก
แต่ก็แลกมาด้วยท่อไส้เล็ก กักเก็บกำลังอัดได้ดีกว่าครับ แรงบิดมากกว่า เสียงเงียบกว่าครับ
--------------------------------------------------------------------------
ใยแก้วออกแบบให้เป็นชิ้นส่วนสึกหรอเพื่อซับเสียง และแรงสั่นสะเทือน ให้กับชิ้นส่วนภายในท่อด้วยนะครับ จึงถูกออกแบบให้สึกหรอเป็นชิ้นส่วนแรกๆ
และต้องมีการเช็คและเปลี่ยนตามระยะของผู้ผลิต
ดังนั้นถ้าใยแก้วหมดแล้วไม่เปลี่ยน ผลที่ตามมาคือ ชิ้นส่วนที่แพงกว่าจะเสียหาย และซ่อมไม่คุ้มในที่สุดครับ
หวังว่าจะได้ประโยชน์จาก สิ่งที่แอดมินแนะนำไปนะครับ ฝากแชร์ให้เพื่อนๆด้วยนะครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม