Trackday Experience จัดโดย BMW Thailand ร่วมกับโรงเรียนเรซซิ่งระดับโลก California Superbike School


Trackday Experience จัดโดย BMW Thailand ร่วมกับโรงเรียนเรซซิ่งระดับโลก California Superbike School

นักรบแทรคเดย์ - Trackday Warrior
ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม Trackday Experience จัดโดย BMW Thailand ร่วมกับโรงเรียนเรซซิ่งระดับโลก California Superbike School ซึ่งก็ได้รับการอำนวยความสะดวกจาก MF Motorrad BMW เป็นอย่างดี ในกิจกรรมนี้ก็เป็นการเรียนรู้การขับขี่แบบเรซซิ่งซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะลูกค้า BMW และยังได้ใช้ New BMW S1000RR 2020 ในการฝึกฝนอีกด้วย
---------------------
สำหรับรีวิวตัวรถ new S1000RR ทางเพจจะขอข้ามไปนะครับ เพราะทางเพจอื่นน่าจะรีวิวกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่สรุปให้คร่าวๆว่า แรงม้าเยอะกว่าเดิม น้ำหนักเบากว่าเดิม มีเทคโนโลยีShiftcam และ BMW เคลมว่า new S1000RR 2020 คือ การรวมจุดเด่นในเรื่องทอร์คของ S1000R และ ท้อปสปีดของ S1000RR ไว้ด้วยกัน มันจึงเป็นรถแทบจะไร้เทียมทานคันหนึ่ง
---------------------
สำหรับการได้เรียนกับ CSS นั้น นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากซึ่งผมนับวันรอให้ถึงวันกิจกรรม และก็ยังเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาขี่ที่สนามช้างแห่งนี้ด้วย
ขอพูดถึงเรื่องการจัดการกิจกรรมกับ CSS กันก่อน การเรียนกับCSS ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ฝีมือขนาดไหน คุณต้องเริ่มเรียนตั้งแต่เลเวล1 เหมือนกันหมด และจะไปจบที่เลเวล4 โดยแต่ละเลเวล ใช้เวลา 1 วัน และจะได้รับประกาศณียบัตรในแต่ละเลเวล เพื่อเป็นเอกสารยืนยันในการเรียนเลเวลต่อไป โดยมีเงื่อนไขว่า อุปกรณ์ป้องกันต้องเป็น Race suit เท่านั้น จะท่อนเดียว หรือ 2ท่อนก็ได้
ความรู้สึกแรกของผมคือ กลัวจะได้ขี่ไม่คุ้ม เพราะต้องนั่งเรียน แต่ไม่ต้องห่วงครับ ในเซสชั่นท้ายๆทุกคนแทบจะร้องขอชีวิตว่าพอเถอะ พอได้แล้ว
สำหรับการจัดระบบ ทุกคนจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆก่อน ในวันนั้น กลุ่มเลเวล2 ได้อยู่กลุ่มสีขาว เลเวล1 มี 2 กลุ่มคือ เหลือง และเขียวเพื่อแบ่งรอบการฝึก ทุกคนในกลุ่มใหญ่จะถูกแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-3 คน โดยในกลุ่มเล็กนั้นจะมีโค้ช1คนคอยขับประกบ เมื่อจบทุกรอบการขี่ ทุกคนต้องเข้า debrief กับโค้ชประจำกลุ่มย่อยตัวเอง เข้าไปฟังว่าโค้ชเจอปัญหาของเราตรงไหน หรือไปบอกว่าปัญหาของเราอยู่ตรงไหน แล้วจึงทำงานร่วมกับโค้ชในการแก้ไขของแต่ละเซสชั่น
เมื่อดีบรีฟเสร็จแล้ว ทุกคนในสีนั้นๆต้องขึ้นกลับไปที่ห้องเรียนทันที เพื่อ briefกับเฮดโค้ชในสิ่งที่เราจะฝึกในเซสชั่นถัดไป ซึ่งต้องบอกว่าทาง CSS ได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้คอยวิ่งตามให้เราขึ้นไปห้องเรียน เพราะฉนั้นหมายความว่าคุณไม่มีสิทธิ์อู้ มาเรียนก็คือเรียน ห้ามคุยกัน ห้ามเล่นโทรศัพท์ เมื่อบรีฟเสร็จก็ลงมารอในพิทเพื่อรอการออกไปขี่ฝึกฝนในรอบของเรา ซึ่งเป็นจังหวะที่เราได้พักประมาน 10-20นาที หมายความว่าไม่มีใครแทบจะได้ออกจากเรซสูทกันเลย
ซึ่งในการจัดระบบ ผมประทับใจมาก ผมได้เห็นการทำงานแบบมืออาชีพตั้งแต่ในการจัดการคน ทุกอย่างรันได้อย่างราบรื่นมาก แทบไม่มีใครต้องรอใคร วิ่งไปตามกันยันในห้องน้ำ สำหรับการเรียนการสอน โค้ชเป็นต่างชาติทั้งหมด แต่ไม่ต้องกลัวเรื่องภาษาครับ เพราะทาง BMW เตรียมล่าม1คน ต่อโค้ช1คน เพราะฉนั้นไม่ว่าจะบรีฟหรือดีบรีฟ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษากันเลย แต่ถ้าได้ภาษาไปเองก็จะได้เปรียบนิดหน่อยคือคุยกันเข้าใจได้ไวกว่าไม่ต้องรอคนแปล
----------------------
ส่วนเรื่องของการฝึก หลายคนที่รอบทความส่วนนี้อยู่ว่าโรงเรียนระดับโลกนั้นมีเทคนิคอะไรมาสอนเรา ซึ่งต้องขอโทษที่ทำให้ผิดหวังไว้ก่อนเลยเพราะว่าทุกอย่างที่ฝึกในวันนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนที่เคยเรียนเรซซิ่ง ไม่ว่ากับระดับแคลิฟอเนีย หรือระดับนครชัยศรีได้เคยเรียนได้รู้กันอยู่แล้ว ซึ่งก็ได้แก่ การควบคุมคันเร่ง การเข้าไลน์ การพลิกรถ การผ่อนคลายช่วงบน และการใช้สายตา ซึ่ง CSS แบ่งเป็น 5 drill แบบนี้ครับ
1. Throttle
2. Turn points
3. Quick turn
4. Rider input
5. Two-step turning
ถ้าท่านยังอ่านถึงตรงนี้ ท่านจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้คือเบสิคสุดๆทำจนเป็นเรื่องปกติไปหมดแล้ว ใช่ครับ ผมก็คิดแบบนั้น แต่หลังจากที่เรียนออกจากห้องมา แม้จะหัวข้อเดิมๆและง่ายๆ แต่ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ "ทัศนคติ" ครับ
เฮดโค้ชสตีฟได้โยนคำพูดให้พวกเราไว้ประโยคหนึ่งก่อนเริ่มต้นดริล คือ "เรามองหาเทคนิคเทพๆและซับซ้อนเพื่อจะมาพัฒนาการขับขี่ของเราอยู่เสมอ แต่เรามักจะมองข้ามสิ่งง่ายๆไปหมด" และนั่นก็คือคอนเซปของการฝึกครั้งนี้ตลอดวัน แต่สิ่งที่เพิ่มเติมจากสิ่งที่ผมเคยรู้มาในวันนั้น คือผมได้รู้ว่าเราทำสิ่งเหล่าไปเพื่ออะไร และแค่ตรงนี้ข้อเดียวมันกลายเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้ผมเจอคำตอบของข้อผิดพลาดที่ผมไม่เคยหาเจอมาตลอด ผมจะเล่าให้คุณฟังถ้าคุณยอมเดินทางต่อไปด้วยกันบนตัวหนังสือนี้
ผมได้ถูกจัดให้อยู่กับโค้ชซิดในช่วงของการฝึกภาคสนาม ผมยังมีความกังวลอยู่เพราะผมเพิ่งเคยมาสนามนี้เป็นครั้งแรก แม้จะศึกษาจากคลิปวิดีโอและปริ้นต์เลย์เอาท์สนามมาท่องแล้วก็ตาม ผมบอกโค้ชไปว่าเบาๆมือกับผมหน่อยครับ ผมเพิ่งมาครั้งแรก โค้ชตอบกลับมาว่า "ไม่เป็นไร เพราะเราจะทำสิ่งง่ายๆ และทำแค่สิ่งเดียว แต่เราจะทำอย่างจริงจัง"
- บทเรียนที่ 1 "เกียร์ 4 ไม่มีเบรค"
บทเรียนแรกคือเรื่องการใช้ "คันเร่ง" แต่ที่ทำให้ทุกคนสนใจจนเป็นกังวลก็เมื่อตอนที่ได้รับโจทย์ว่า ให้ใช้แค่"เกียร์4" และ "ห้ามเบรค" กลับมาเรื่องคันเร่งก่อนครับ ที่เราเคยรู้กันมามันก็คือ ปิดคันเร่งเมื่อเริ่มพลิกรถ และค่อยๆเปิดคันเร่งให้รถตั้งตรงเพื่อออกจากโค้ง ซึ่งมันก็ถูกครับ แต่เวอชั่นที่CSSบอกนั้นต่างออกไปนิดหน่อย ต่างอย่างไร เดี๋ยวตามผมมาลงสนามครับ
ผมลงสนามไป ผมทำได้ไม่มีปัญหา เข้านอก ชิดเอเปกซ์ แล้วเดินคันเร่งออก สวยงาม ที่ทำตอนนี้ก็คือเดินคันเร่งออกให้มันราบเรียบมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่าผมทำได้ดี จนกระทั่งถึง T12 ซึ่งเป็นโค้งหักศอก ตอนเข้าผมเล็งเอเปกซ์ไว้อย่างสวยงาม และพยามรีดคันเร่งออกให้สวยที่สุด แต่ผมได้โค้งบานๆออกมาจนต้องผ่อนคันเร่งที่ปลายโค้ง
ผมรีบเอาปัญหานี้ไปบอกกับซิดทันที ซิดบอกว่าใช่ โค้งอื่นคุณทำได้ดี แต่คุณออกกว้างที่โค้งนี้ นั่นเพราะคุณ"รีบเปิดคันเร่ง" ผมเถียงกลับไปว่า "แต่ผมเปิดที่เอเปกซ์พอดีนะครับ" โค้ชจึงบอกว่า โค้งนี้มันเป็นโค้งมุมกลับ มันเป็นโค้งหักมุมเกิน90° คุณเปิดที่จุดกลางโค้งยังไงมันก็กว้าง ที่CSSเราสอนสิ่งเดียวแล้วใช้ได้กับทุกโค้ง เราจึงสอนให้คุณ"เปิดคันเร่งเมื่อคุณเข้าไลน์แล้ว" อย่าเพิ่งไปโฟกัสกับเอเปกซ์ อย่างเช่นโค้ง12 ที่จุดเปิดคันเร่งมันอยู่หลังจากเอเปกซ์ไปนิดหน่อย และที่สำคัญคุณต้องอดใจรอจนถึงจุดนั้น อย่าตะกละตะกลามกับคันเร่ง แล้วคุณจะไปได้เร็วกว่าเดิม
ผมทำอย่างโค้ชว่า อดทนกับคันเร่งให้มากกว่าเดิม ผมเลิกการเปิดพร่ำเพรื่อ รอให้เข้าไลน์ก่อนค่อยเปิด ทำให้การขับขี่รอบนั้นดีขึ้นทุกโค้ง เข้าได้ลื่นไหล แหละเก็บโค้ง12กลับมาได้อย่างแคบๆสวยๆ สิ่งที่ผมแปลกใจคือ กับแค่คันเร่งอย่างเดียวเราควบคุมรถได้ขนาดนี้ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ทางเลือกของผมในการแก้ไลน์คือเกียร์บ้าง เบรคบ้าง นี่เป็นเหตผลว่าทำไมจึงโดนสั่งให้เกียร์4ไม่มีเบรค
สำหรับการใช้เกียร์4ไม่มีเบรคก็ไม่มีปัญหาเลย จริงๆประเด็นนี้เฮดโค้ชถึงกับแปลกใจว่า สอนมาห้าสิบกว่าสนาม เป็นสิบๆประเทศ ไม่เคยมีใครบ่นอะไร ไม่เคยมีใครกลัวรถดับ เฮดโค้ชบอกว่าผมสัญญาว่ามันจะไม่ดับ และการที่ให้อยู่เกียร์4นั้น มันทำให้มีทอร์คไม่เยอะไปและไม่น้อยไป มันทำให้คุณพลาดกับการเปิดคันเร่งได้ยาก และเมื่อคุณโดนสั่งไม่ให้เบรค คุณเลยต้องยกคันเร่งก่อนจุดพลิกมากขึ้น และคุณมีเวลาประเมินอะไรต่างๆมากขึ้น โค้งมันจึงไม่น่ากลัว ถ้าคุณใช้ได้ทุกอย่าง เป็นไปได้อย่างสูงที่คุณจะพุ่งมาเร็วเกิน แล้วคุณก็จะไปโฟกัสที่การเบรค แล้วพอถึงเวลาเข้าโค้งความเร็วคุณก็จะไม่พอ นั่นคือเหตที่ทำให้รถดับ
- บทเรียนที่ 2 เกียร์ 4,3 ไม่มีเบรค
บทเรียนนี้ เรามาคุยกันเรื่องจุดเลี้ยว จากที่ผมเคยเรียนที่อื่นนั้นมักจะใช้กรวยตั้งขอบสนามเพื่อกำหนดจุดเลี้ยว แต่สำหรับ CSS นั้นจะมาร์คกากบาทไว้เลย ว่ารถควรจะอยู่จุดไหน ไม่จำเป็นจะต้องเข้านอกออกในไปตลอด เฮดโค้ชให้ความรู้มาว่า จุดเลี้ยวที่ให้ไป คือจุดที่ดี เป็นจุดที่แนะนำ แต่ไม่ใช่จุดที่ perfect รถต่างกัน จุดพวกนี้ก็จะเปลี่ยนไป เซตติ้งต่างกัน จุดพวกนี้ก็จะเปลี่ยนไป มันจึงเป็นสิ่งเราต้องหา แต่วันนี้ให้ลองขี่ตามนี้ดู แล้วลองดูว่ารู้สึกยังไง
ผมลงไปขี่ตามที่โค้ชบอก จุดเหล่านั้นไม่ได้ชิดขอบนอกเสมอไป แต่ผลที่ได้คือ มันเป็นไลน์ที่ขี่ง่าย ราบรื่นมาก ไม่เคยเจอมาก่อน ผมใช้เวลาที่เหลือขัดเกลาเรื่องการใช้คันเร่งในเซสชั่นนี้ แล้วก็สนุกมากกับการขี่ไลน์ของCSS
- บทเรียนที่ 3 เลี้ยวขวา ให้หักแฮนด์ซ้าย
เซสชั่นที่สาม หัวข้อว่า Quick turn ซึ่งมันก็คือ Counter steering บทนี้มันเป็นบทนำที่จะพาเข้าสู่จุดพีคของผม เพราะนี่คือจุดที่ผมเจอปัญหาจังๆ
Counter steering เราได้คุยกันในเชิงเทคนิคและทฤษฎีกันมานานแล้ว แต่มันไม่เคยถูกบรรจุในการเรียนเบสิคเรซซิ่ง ซึ่งเข้าใจได้เพราะจริงๆแล้วทุกคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ทำโดยไม่รู้ตัวอยู่แล้ว แถมถ้าใครไม่รู้จักก็จะตกใจว่า ถ้าเราจะเลี้ยวขวา ให้หักแฮนด์ไปซ้าย มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ก่อนจะขึ้นบทเรียนนี้ มีพักรายการโดยการเรียกไปขี่ที่ลานทีละคนสองคน โค้ชเดเมี่ยนให้ผมขี่ซิกแซกในลานจอดรถที่ล้อมไว้ด้วยราวเหล็ก และวนกรวยกลับมา โดยใช้ความเร็วคาไว้ที่30kmตลอด ผมก็ใช้สายตาตามที่เคยเรียนรู้มา โค้ชบอกว่า counter steer คุณทำอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว แต่ทีนี้ผมอยากให้คุณทำแบบ"รู้ตัว" รอบแรกผมพยามผลักแฮนด์ไปทางตรงข้าม แต่รู้สึกว่าฝืนมาก โค้ชเลยบอกว่าอยากให้"ผ่อนคลาย"ช่วงบนแล้วเข่าหนีบถังไว้ ที่มันฝืนก็เพราะเราเกร็งช่วงบนมันเลยทำให้ที่เราออกแรงผลัก กดลงข้างล่างหมด ถ้าผ่อนคลายคุณจะผลักแฮนด์ไปข้างหน้าได้ ผมทำตาม มันทำให้ผมเลี้ยวได้เร็วขึ้น พอเร็วขึ้นวงเลี้ยวก็แคบขึ้น ผมผ่านได้ไม่มีปัญหา
แต่ผมกลับไปมีปัญหาในสนาม
คุณเคยคิดไหมครับว่า นักแข่งมืออาชีพ เขาเข้าโค้งกันเร็วๆนี่เขาไม่กลัวหรือ? คำตอบคือไม่กลัวครับ แต่ที่ทำให้พวกเขาไม่กลัวไม่ใช่เพราะว่าเขา"ใช้ใจล้วนๆ" หรือ"กลัวจนเลิกกลัว" แต่เขา "ประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้น"ได้ และเหตผลที่เราต้องใช้ counter steer ให้เป็น เพราะว่ามันทำให้เราพลิกรถลงได้เร็ว และในการเตรียมตัวเข้าโค้งนั้นมีอยู่4-5อย่างที่ต้องทำในเวลาเพียงนิดเดียว เพราะฉนั้นใครมีเวลาตรงนี้มากกว่าจะได้เปรียบแน่นอน
ผมคิดว่านี่แหละคีย์สำคัญ เพราะนี่คือสิ่งที่ผมเคยลองทำ แต่ไม่ได้สนใจฝึก ทฤษฎีก็ง่ายๆ ถ้าเลี้ยวซ้ายให้หันแฮนด์ไปทางขวาโดยใช้มือขวาค่อยๆผลักแฮนด์ไป พอเข้าไลน์แล้วก็ปล่อย แค่นี้จบ จากที่ผมเคยอ่านในเนทมาก่อนนานแล้วก็บอกแบบนี้ เคยดูยูทูปก็บอกแบบนี้ อ่านในกลุ่มรถก็พูดกันเยอะแยะ
ผมลงสนาม ถึงโค้งสาม เลี้ยวขวา 180 องศา เตรียมตัวทุกอย่างเรียบร้อย และพยามผ่อนคลายช่วงบนอย่างที่เดเมียนบอก ค่อยๆออกแรงที่แขนขวา ผลักไม่ไปครับ ผมรู้ตัวเลยว่าเพราะช่วงบนผมยังเกร็งอยู่ ลองใหม่กับโค้งซ้ายt5 กับt6 พยามคิดไว้ผ่อนคลายๆ ขยับก้น เปิดขาเตรียมตัวเข้า พอจะปล่อยตัว เฮ้ย เราจะร่วงจากรถมั้ยวะ ร่างกายช่วงบนกลับมาเกาะรถโดยอัตโนมัติ ผลักแฮนด์ไม่ไปตามเคย จบเซสชั่น ผมหัวเสียมาก ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ขี่เร็วก็แล้ว ช้าก็แล้ว จนข้างหลังน้อครอบผมไปสองสามรอบ
กลับมาหาซิดผมบอกว่าผมไม่แฮปปี้เลย ผมไม่ได้อะไรเลย ซิดยิ้มแล้วบอกว่า โอเคน่า เดี๋ยวเซสชั่นต่อไป เราจะสอนให้คุณ Relax
บทเรียนที่ 4 Man and Machine
ถ้าคุณแฝงตัวอยู่ตามกลุ่มมอร์เตอร์ไซค์ต่างๆ คุณจะได้เห็นการพูดคุยเรื่อง "ปรับตัวให้เข้ากับรถ" และ "ปรับรถให้เข้ากับคน" บางทีก็จะเห็นคนสองฝั่งนี้ขิงก็ไปมาด้วยก็มี ซึ่งเพจผมก็มีขิงกับเขาอยู่บ้าง ยอมรับ อิๆ
แต่สิ่งที่เฮดโค้ชสตีฟสอนเราก็คือ หัวข้อ Rider input หรือสิ่งที่เราใส่เข้าไปเพื่อการควบคุมรถ ตรงจุดนี้สตีฟบอกว่า รถทุกคันที่ผลิตขึ้นมา มันผลิตขึ้นมาให้วิ่งเองได้ ต่อให้มันเอียง ตกหลุม มีเนิน มันก็จะกลับมาตั้งขึ้นแล้ววิ่งต่อได้ โค้ชยกตัวอย่างด้วยคลิปที่ทุกคนอาจเคยเห็น ที่มอเตอร์ไซค์วิ่งด้วยความเร็วแล้วwobble แฮนด์สบัดไม่หยุด แล้วคนก็พยามยื้อกับแฮนด์ให้มันหยุด จนตัวคนหลุดออกจากรถ แต่รถก็วิ่งไปต่อได้โดยไม่มีคนควบคุม แถมแฮนด์ก็กลับมาหยุดสบัด
โค้ชให้ดูรูปนักแข่งระดับโลกที่ทำ power slide หรือ backing it in โดยล้อหน้าหันไปทางตรงกันข้ามกับล้อหลัง โดยโค้ชพูดต่อว่า ที่ล้อหน้ามันหันไปทางตรงกันข้ามนั้นไม่ใช่นักขี่หักแฮนด์มา แต่มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือถ้าใครเคยผ่านเหตการณ์ที่ล้อหลังสไลด์แล้วกลับมาควบคุมได้ จะรู้ว่าแฮนด์มันจะหักไปอีกทางโดยอัตโนมัติ
แต่จริงๆแล้วนั่นไม่ใช่สัญชาตญาณของมนุษย์ แต่มันคือรถที่พยามจะแก้อาการด้วยตัวมันเอง ส่วนถ้าคนที่เคยล้อสไลด์แล้วล้ม เพราะนั่นคือคุณไปบังคับล้อหน้ามันกลับมา นั่นคือinput ของคุณ ซึ่งทำให้รถล้ม โค้ชทิ้งท้ายต่อว่า เพราะฉนั้นถ้ารถคุณล้ม มันไม่ได้ผิดพลาดทีรถ แต่เป็นพวกคุณ คุณ และ คุณ!
แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลก โค้ชบอก เพราะนั่นคือ "สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์" เวลารถวิ่งปกติ แฮนด์มันก็จะนิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นถนนมันไม่ได้ราบเรียบตลอด แฮนด์มันก็จะขยับตลอด เพราะว่ามันกำลังแก้อาการตามสภาพถนนขณะนั้น แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเราไม่ชอบอะไรแบบนี้ ไม่ชอบแฮนด์ที่ไม่นิ่ง ไม่ชอบอะไรที่คาดเดาไม่ได้ สังเกตดูว่าตอนที่เราขับรถใหม่ๆ เรามักจะพยามเกาะแฮนด์หรือพวงมาลัยให้มันนิ่งอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้เราต้องเกร็งแขนไว้เพื่อพยามควบคุม จนซักระยะเวลาหนึ่งเมื่อเรารับรู้ว่า ที่พวงมาลัยหรือแฮนด์มันขยับนิดหน่อยนั้นมันไม่เป็นไร เดี๋ยวมันจะกลับมาอยู่ที่เดิม เราก็ปล่อยให้มันขยับได้บ้าง เพราะเราเชื่อใจมันในจุดนี้
เวลาเข้าโค้งก็เหมือนกัน แฮนด์มันจะมีการแก้อาการโดยมีการขยับของแฮนด์อยู่ตลอด การขยับของแฮนด์โดยที่ตัวรถพยามแก้ให้ตัวเองนั้นมีเสถียรภาพ การที่มือมนุษย์ไปพยามขืนให้แฮนด์มันนิ่งนั้น มันลดเสถียรภาพของรถ มันจึงจำเป็นที่ทุกคนต้องปล่อยให้ช่วงบนผ่อนคลาย ให้มือของเรามีบทบาทกับรถเพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อจะได้ปล่อยให้รถทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แล้วจึงใส่inputที่มีประโยชน์ เช่น counter steer และการใช้คันเร่ง
ความคิดของผมเปลี่ยนทันทีในวินาทีนั้น ผมเคยมองรถเหมือนสัตว์เลี้ยง คือเราเป็นเจ้านายนะ นายต้องทำตามที่เราบอกนะ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย เราต้องมองรถเป็นเพื่อน เป็นผู้ที่เราต้องช่วยกันและกัน ต่างคนต่างเชื่อใจทำหน้าที่ของแต่ละคนไป แต่รถมันเชื่อใจคุณอยู่แล้ว คุณพามันไปกลิ้งมันก็ไป และถ้าคุณเชื่อใจให้มันทำหน้าที่ควบคุมความเสถียรภาพของมันได้สอดประสานกับการกำหนดทิศทางและความเร็วจากคุณ ทั้งคู่ก็จะหลอมรวมกัน เป็น man and machine ไงล่ะครับ
แต่พอถึงจุดนี้ ผมเข้าใจ ทัศนคติผมเปลี่ยนไป แต่ผมผ่อนคลายไม่ได้เว้ย คือพูดมันง่าย บอก"นายต้องผ่อนคลายนะ!" แต่พอถึงโค้งคือผมก็ไม่อยากตกจากรถอ่ะ แล้วตัวข้างบนมันก็เกาะไปเองไม่ได้สั่ง ผมจะแก้ยังไง
ผมไปหาซิดโค้ชของผม ผมบอกไปผมทำไม่ได้ ร่างกายมันตอบสนองไปเอง ซิดบอก แน่นอน ก็ร่างกายของคุณมันรู้สึกไม่ปลอดภัย สัญชาตญาณคุณก็ต้องบอกให้คุณเกาะรถไว้สิ จุดนี้ผมเห็นด้วย แต่จะแก้ยังไง
ซิดบอกให้มาที่รถ แล้วให้ทำท่าตอนเข้าโค้งให้ดู ผมก็ขยับก้น กางขาปกติ แล้วซิดก็ปล่อยผมไว้แบบนั้นจนผมจะร่วงจากรถ ซิดบอกทำไมคุณจะร่วงรู้ไหม เพราะคุณไปโฟกัสว่าต้องขยับก้นแค่ไหน กางขาแค่ไหน เรื่องนี้ผมก็บอกไม่ได้ เพราะสรีระของทุกคนมันไม่เหมือนกัน แต่ที่จะเป็นตัวชี้วัดก็คือ ขาด้านนอกโค้ง! คุณต้องเขย่งปลายเท้าของขาด้านนอกโค้งขึ้นมาเพื่อให้หัวเข่าคุณจิกเข้ากับถังน้ำมัน และนั่นก็จะเป็นจุดล็อคที่มั่นของคุณ ถ้ายังรู้สึกไม่มั่นคงก็แสดงว่าคุณอาจจะนั่งไกลถังเกินไป หรือใกล้ถังเกินไป ก็ต้องเอาจุดที่ขาด้านนอกคุณยึดมั่นคงที่สุดเป็นเกณฑ์
โอ้โฮคุณครับ ผมไม่เคยคิด ไม่เคยให้ความสำคัญกับขาด้านนอกมาก่อนเลย ผมทำตามที่โค้ชซิดบอก เขย่งปลายเท้าแล้วหาจุดที่ขาด้านนอกยึดได้ดีที่สุด แล้วขาด้านในและก้นจะออกไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น มันยกภาระช่วงตัวส่วนบนออกทั้งหมดเลย พอช่วงบนผมรู้สึกปลอดภัย มันก็ทำให้แขนผมไม่เกร็งได้ แฮนด์มันจะขยับอะไรก็ปล่อยไปเพราะเราเป็นเพื่อนกันแล้ว แล้วเรื่องดันแฮนด์เพื่อเคาเตอร์ก็กลายเป็นเรื่องขนมๆเลย ผมสนุกกับการขี่รอบนั้นมาก
พอจบรอบซิดเข้ามาไฮไฟว์ด้วย ผมดีใจมาก นี่คือคำตอบของผมสำหรับวันนี้ ที่ว่า เรามันจะมองข้ามสิ่งง่ายๆไปเสมอ แค่ผมเปลี่ยนการโฟกัสของขา ทำให้ผม counter steer ได้
โค้ชซิดยังแถมให้อีกนิดว่า ผมเห็นคุณหนีบถังอยู่ตลอด แต่จริงๆแล้วคุณสามารถเซฟแรงได้ ทางตรงคุณก็ผ่อนคลายไป พอจะเบรคค่อยหนีบเพื่อไม่ให้ก้นคุณเคลื่อนออกจากจุดที่เข่าจะจิกถังได้ดี
บทเรียนสุดท้าย มอง-มอง
2-step turning คือการใช้สายตาครับ เบสิคมากๆจนกระทั่งมันอยู่ในส่วนแรกของการขับขี่ปลอดภัยด้วยซ้ำ แต่สตีฟบอกว่า คุณรู้สึกไหมว่ากับโค้งเดิมๆ บางทีคุณก็เข้าดี บางทีก็ต้องแก้ ขนาดเรามาร์คจุดเลี้ยวให้คุณแล้ว มันทำให้คุณทำเวลาต่อรอบได้ไม่นิ่ง นั่นก็เพราะว่าคุณไม่ได้มองที่เดิมทุกครั้ง รวมไปถึงเวลาคุณจัดลำดับการมองเป็นอันดับสุดท้ายของการเตรียมตัวเข้าโค้ง
สตีฟบอกว่าเราต้องมองในจุดที่คุณจะไปจริงๆ ให้โฟกัสเป็นจุดเล็กๆไปเลย แต่ที่ชอบเผลอมองกันส่วนมากคือมองไปที่จุดด้านในของ curb ซึ่งมันผิด และบางทีก็มองทะลุไปที่ทางออกทีเดียวเลย ซึ่งมันผิด เพราะมันทำให้คุณเข้ามาเออร์ลี่เอเปกซ์จนทำให้ต้องแก้ เสียเวลา
สตีฟบอกคุณกำหนดการมองใหม่ รีบมองที่จุดเลี้ยว พอเหลืออีกช่วงคันรถ ก็รีบเปลี่ยนไปมองที่จุดเอเปกซ์ ลองโฟกัสกับเรื่องนี้ดู ดูซิจะเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ไล่พวกเราลงไป
ครับ จากที่ผมเคยคิดว่าผมก็ทำจนเป็นปกติอยู่แล้ว แค่กำหนดเป็น 2 step แล้วก็จริงจังกับมันเพียงสิ่งเดียวในตอนนั้น สิ่งที่ผมได้ก็คือ ทุกอย่างมันดูช้าลง โค้งที่เคยน่ากลัวกลับไม่น่ากลัว ทำให้ผมใช้ความเร็วได้มากขึ้น
สตีฟอธิบายเหตการณ์นี้ว่า มันก็คือสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์นั่นแหละ สัญชาติญาณมันไม่ชอบอะไรที่คาดเดาไม่ได้ มันจึงสั่งให้เรากลัว ไม่ให้เข้าไปหา นี่คือเหตผลที่ทำให้เวลามาเร็วๆแล้วตัวแข็ง ไม่ยอมเอียงตัวเข้าโค้ง แต่การที่เรามองไว้ก่อน ทำให้สมองประเมินเหตการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปได้ทัน ทุกอย่างมันจึงดูช้าลง สัญชาติไม่คิดว่ามันอันตราย มันจึงปล่อยร่างกายให้เราควบคุมรถเข้าโค้งไป
มีคนยกมือถามสตีฟว่า แล้วถ้าไม่มีจุดเลี้ยวมาร์คไว้ให้จะทำยังไง สตีฟบอกว่าเป็นคำถามที่ดี เพราะคำตอบนั้นอยู่ในเลเวล2 จ่ายเงินมาซิ เดี๋ยวบอก 555
สตีฟทิ้งท้ายว่า ทั้ง5ดริลวันนี้ ไม่ได้สร้างพวกคุณเป็นนักแข่ง แต่ผมสร้างให้คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านการขับขี่ ทั้ง5ดริลคือเครื่องมือทดลองที่ผมมอบให้ คุณจงออกไปใช้มันทดลองหาสิ่งที่เหมาะกับคุณซะ และสุดท้าย การจะเป็นนักขี่ที่ดี คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณทำวันนี้ได้ดีไหม แต่มันอยู่ที่วันต่อไป และ ต่อไป และวันต่อๆไป
ขอบคุณที่รับชมครับ
----------------------
แทรคเดย์ครั้งต่อไปเดือนเมษายนนี้ พบกับพวกเราได้ที่
Fasttrack Weekend Riding
สนามที่ 1 ปี2020 แก่งกระจานเซอกิตครับ
----------------------
ขอบคุณรูปภาพ
#IAmJackMania
#BMWthailand

ขอขอบคุณที่มา
#นักรบแทรคเดย์
ขอบคุณรูปภาพ
#IAmJackMania
#BMWthailand









































































































































ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม